ฟิตเนส

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ออกกำลังกายแบบไหนถึงจะไม่เสี่ยง

การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเช่น โรคหัวใจ มีความจำเป็นอย่างมากเพราะจะช่วยให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น เพียงแต่ต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจจึงไม่ต้องกังวลว่าจะออกกำลังกายตามปกติไม่ได้ เรารวบรวมเทคนิคและวิธีการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อสภาพร่างกายมาไว้ที่นี่แล้ว

เทคนิคการออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจแข็งแรงขึ้น

หลายคนเข้าใจว่าเมื่อป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วคงจะหมดสิทธิ์ออกกำลังกายไปเลย แต่ความเป็นจริงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะคุณสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเพียงแต่ต้องปรับวิธีการให้พอเหมาะตามคำแนะนำของแพทย์ เราจึงรวบรวมเทคนิคต่าง ๆ มาให้คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจลองเอาไปใช้กันดู

1.ควรเลือกช่วงเวลาและสถานที่ของการออกกำลังกายให้เหมาะสม เช่น ออกกำลังกายในตอนเช้าเพราะอากาศไม่ร้อนจัด หรือเย็นจัดจนเกินไปและควรเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท

2.ควรออกกำลังกายหลังทานอาหารมื้อหลักประมาณ 1-2 ชั่วโมงและไม่ควรออกกำลังกายตอนท้องว่าง

3.ก่อนออกกำลังกายควรทำการวอร์มอัพร่างกายอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อป้องกันหรือลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ ระหว่างการออกกำลัง

4.เตรียมน้ำดื่มไว้ข้างตัวให้พร้อม อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจิบน้ำระหว่างออกกำลังกายเบา ๆ หรือดื่มน้ำประมาณ 1 แก้วก่อนเริ่มออกกำลังกาย

5.ควรเลือกวิธีออกกำลังกายแบบเบา ๆ จนถึงแบบหนักปานกลาง แต่หากไม่เคยออกกำลังมาก่อน ควรเริ่มจากวิธีเบา ๆ เช่น การเดินเร็ว ในช่วงแรกอาจจะเริ่มเดินแค่วันละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน จะทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป หลังจากนั้นเมื่อร่างกายเริ่มคุ้นเคยก็ค่อย ๆ ปรับเพิ่มเป็นวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง หรือเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะ ๆ หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่ เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเร็วขึ้น

หรือเลือกการว่ายน้ำเพราะน้ำเป็นตัวช่วยพยุงน้ำหนักอย่างดี ถึงแม้จะออกแรงมาก ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าออกกำลังกายบนบก แถมการว่ายน้ำยังเป็นการใช้กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนในร่างกาย และน้ำยังช่วยลดแรงกระแทกเวลาที่เราออกแรงทำให้ไม่บาดเจ็บง่าย

6.ควรหมั่นสังเกตุอาการของร่างกายในขณะออกกำลังกาย หากมีอาการหรือสัญญาณเตือนภัยต่าง ๆ ดังนี้ รู้สึกเหนื่อยมากผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว มีอาการแน่นหน้าอก หน้ามืดหรือเวียนหัว คลื่นไส้ ควรหยุดพักและหากเป็นไปได้ควรไปพบแพทย์ทันที แนะนำว่าไม่ควรไปออกกำลังกายคนเดียว ควรหาคนใกล้ชิดหรือเพื่อนไปด้วย เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันที

ประโยชน์ที่ได้จากการออกกำลังกายของผู้เป็นโรคหัวใจ

1.การออกกำลังกายจะช่วยฟื้นฟูหัวใจให้ทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดทำงานได้ดีจึงทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว กล้ามเนื้อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือด พูดง่าย ๆ ว่าทำให้การทำงานของหัวใจเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นนั่นเอง

2.ช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง เพราะการออกกำลังกายจะทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดลดลง

3.ช่วยป้องกันและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ รวมถึงโรคอื่น ๆ ลงได้ เช่น โรคอ้วน โรงมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

4.ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เฉพาะแค่หัวใจ แต่กล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกายยังได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระฉับกระเฉง ดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณสดใสขึ้นเพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อออกมาทางผิวหนังเป็นการช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

นอกจากเทคนิคของการออกกำลังกายสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจที่เรานำเสนอทั้งหมดนี้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ การควบคุมอาหารการกิน ควรกินอาหารในสัดส่วนที่พอเหมาะ รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันที่จะส่งผลให้ไปกระตุ้นอาการของโรคได้ เช่น การดื่ม ชา กาแฟมากเกินไป การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น ดังนั้นควรค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านี้ลงและหันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยมากขึ้นด้วย

อาการออฟฟิศซินโดรมหายแน่ แค่ใช้โยคะบำบัด 5 ท่า

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นอาการที่พนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ประสบพบเจอ เพราะการนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ต้องจ้องอยู่หน้าคอมทั้งวัน เป็นอย่างนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี จึงเกิดโรคที่เรียกว่าออฟฟิศซินโดรมขึ้นมา เช่น ปวดหลัง คอ ไหล่ บ่า สะบัก บางคนอาการหนักถึงขึ้นปวดหัว มึนงง ตาพร่าได้ แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฝึกโยคะ ที่จะช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรมทั้งหลายลงแบบได้ผล เรามีท่าโยคะที่สามารถทำได้ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน

ฝึกโยคะ 5 ท่าง่าย ฝึกเองได้ แก้อาการออฟฟิศซินโดรม

1.ท่ายืดกล้ามเนื้อไหล่ ปกติท่านี้จะเริ่มทำในตอนต้นของการฝึกโยคะก่อนเข้าไปสู่การฝึกในท่าอื่น ๆ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อไหล่ของเราผ่อนคลายและลดอาการปวดเมื่อยได้ดีมากทีเดียว ท่านี้สามารถนั่งทำหลังโต๊ะทำงานได้เลย

วิธีทำ ให้นั่งหลังตรง เหยียดแขนตรงไปด้านหน้าแล้วประสานมือดันไปด้านหน้า สูดลมหายใจเข้าค่อย ๆ ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปแนบศีรษะ ค่อย ๆ ดันฝ่ามือขึ้นด้านบน ให้ยืดแขนและฝ่ามือขึ้นไปจนรู้สึกตึงช่วงไหล่ แต่ไม่ต้องออกแรงเยอะมากเกินไป ที่สำคัญอย่ากลั้นลมหายใจ ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจแล้วค่อย ๆ หายใจออกและคลายแขนลงมา

2.ท่ายืดกล้ามเนื้อคอ ท่านี้สำหรับคนที่มีอาการปวดช่วงคอ เนื่องจากต้องจ้องมองจอคอมพิวเตอร์และนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ

วิธีทำ นั่งในท่าหลังตรง ค่อย ๆ เอื้อมมือซ้ายในลักษณะข้ามศีรษะไปจับที่หูขวา มือขวาวางไว้ข้างลำตัวสบาย ๆ  จากนั้นค่อย ๆ หายใจเข้า แล้วหายใจออกพร้อมเอียงคอไปทางซ้ายช้า ๆ จนรู้สึกตึงช่วงคอ ให้ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจ หายใจเข้าและหายใจออกค่อย ๆ ลดมือลงและทำอีกข้างแบบเดียวกัน

3.ท่ายืดหัวไหล่ คอ แขนและหลังส่วนบน เรียกว่าทำท่าเดียว แต่ยืดได้ถึง 4 จุด

วิธีทำ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ แล้วยืดแขนขวาขึ้นแนบศีรษะ งอข้อศอกขวาลง พยายามให้ข้อศอกอยู่หลังศีรษะ จากนั้นให้ยกแขนซ้ายไปจับข้อศอกขวา พร้อมหายใจเข้าลึก ๆ ดึงข้อศอกขวามาด้านหลังศีรษะพร้อมหายใจออก พยายามเงยหน้ามองตรงโดยให้ศีรษะดันข้อศอกไปด้านหลังจนรู้สึกตึงเล็กน้อย ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจ สลับท่าทำอีกข้างแบบเดียวกัน

4.ท่า Eagle Arms ช่วยคลายอาการปวดตึงช่วงคอ บ่า ไหล่ สะบักได้ดีมาก

วิธีทำ นั่งหลังตรง ยกแขนทั้งสองข้างมาด้านหน้าโดยพับแขนให้ตั้งฉากกับหัวไหล่ ผ่อนคลายหัวไหล่สบาย ๆ จากนั้นจึงยกแขนขวามาไขว้บนแขนซ้ายโดยให้ศอกขวาอยู่บนข้อพับแขนซ้าย แล้วไขว้ให้ฝ่ามือขวาประกบมือซ้าย ยกข้อศอกทั้งสองข้างขึ้นสูงช้า ๆ ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจ สลับข้างทำแบบเดียวกัน

5. ท่า Child’s Pose หรือเรียกว่า ท่าเด็กหมอบ เป็นท่าที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังช่วงล่าง สะโพก ต้นขาและข้อเท้าให้ผ่อนคลายจากอาการตึงหรือปวดจากการนั่งนาน ๆ หรือยืนนานได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ร่างกายมากขึ้นด้วย

วิธีทำ ท่านี้ควรทำบนเสื่อโยคะหรือเสื่อสำหรับออกกำลังกาย เริ่มด้วยการนั่งคุกเข่าโดยให้ก้นแตะส้นเท้า เหยียดปลายเท้าและข้อเท้าไปด้านหลัง กางหัวเข่าออกจากกันเล็กน้อย หายใจเข้าและหายใจออกพร้อมโน้มก้มตัวลงไปด้านหน้าจนหน้าผากแตะเสื่อ พยายามอย่ายกก้นสูงในระหว่างก้มตัวไปข้างหน้า

จากนั้นค่อย ๆ เหยียดแขนสองข้างไปข้างหน้าเหนือศีรษะจนสุด ให้รู้สึกว่าหลังยืดเหยียดดีแล้ว กดฝ่ามือลงแนบพื้นเบา ๆ ค้างท่าไว้ประมาณ 30 วินาที หายใจเข้า-ออก ช้า ๆ ระหว่างทำท่านี้ให้ปล่อยทิ้งตัวสบาย ๆ อย่าเกร็งคอ ไหล่ หรือแขน ท่า Child’s Pose นี้ยังสามารถทำก่อนนอนได้ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย จิตใจสงบ ช่วยลดความเครียดได้และทำให้หลับสบายอีกด้วย

ท่าโยคะที่นำมาฝากเป็นส่วนหนึ่งในท่าพื้นฐานเท่านั้น แต่ให้ประโยชน์อย่างเหลือเชื่อและทุกคนสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน ถ้าหากทำเป็นประจำสม่ำเสมอ รับรองว่าได้ผลชัวร์ ที่สำคัญควรแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยจึงจะดีที่สุด !

ปั้นหุ่นสวย ด้วยพิลาทิส มือใหม่ก็หัดเล่นที่บ้านได้ ไม่ง้อยิม

การออกกำลังกายแบบพิลาทิส (Pilates) นั้นเป็นการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงจากทั้งภายในและภายนอก และยังช่วยให้ผู้เล่นมีความสมดุลของร่างกายเพราะช่วยเรื่องการทรงตัว การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของข้อและกระดูก ช่วย แก้อาการหลังแอ่นหรือหลังค่อม ทำให้ผู้เล่นพิลาทิสมีบุคลิกที่ดีขึ้นได้ สาว ๆ ที่อยากพัฒนาบุคลิกภาพและอยากลดน้ำหนักหรือกระชับสัดส่วนจึงเลือกมาเล่นพิลาทิสกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และจุดประสงค์ของสาว ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นการมีหุ่นเฟิร์ม พุงหาย ไม่มีไขมันให้กวนใจ วันนี้เราจึงอยากพาสาว ๆ มาออกกำลังกายแบบพิลาทิสกัน มาดูว่าเล่นยังไงให้ช่วยลดพุงแบบได้ผลชัวร์

ออกกำลังกายลดพุงด้วย 5 ท่าพิลาทิส ทำเองได้ ง่ายมาก

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ คือ เสื่อโยคะ หรือเสื่อสำหรับการออกกำลังกาย เมื่ออุปกรณ์พร้อม ก็มาเริ่มต้นกันได้เลย

1. ท่า Hundred เป็นท่าที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรง

– นอนหงายราบลงบนเสื่อ หายใจเข้าและหายใจออกยาว ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องพร้อมยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาจากพื้น ให้อยู่ในระดับที่ประมาณ 90 องศา

– หายใจเข้าแล้วยกลำตัวด้านบนขึ้นมา แขนสองข้างเหยียดตรงไปด้านหน้าขนานกับหัวไหล่

– ค้างท่าไว้ นับลมหายใจเข้า-ออก 5 ครั้งแล้วจึงค่อย ๆ ลดระดับลงสู่ท่าเริ่มต้น ทำแบบเดิม 2-3 เซ็ต

2. ท่า Double Leg Stretch หรือท่ายืดเหยียดขา

– นอนราบลงบนเสื่อ ค่อย ๆ ชันเข่าขึ้นมาแล้วเอื้อมมือมากอดเข่า แล้วจึงยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย

– เหยียดขาตรงทำมุม 45 องศาจากพื้น พร้อมกับเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นมาขนาบหู หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ

– ค่อย ๆ ลดขามาในท่าชันเข่าแล้ววาดแขนทั้งสองข้างมากอดเข่าไว้เหมือนท่าเริ่มต้น หายใจออกทางปาก

– ทำซ้ำ 5-6 รอบเป็นอย่างต่ำ หากเริ่มชินแล้วค่อยเพิ่มเป็น 10 ครั้ง

3. ท่า Crisscross Bicycle หรือท่าปั่นจักรยาน ช่วยกระชับหน้าท้อง ต้นขาและก้นได้ดีมาก

– นอนหงายบนเสื่อ ใช้มือหนุนศีรษะไว้ จากนั้นหายใจเข้าให้ค่อย ๆ ยกลำตัวขึ้นเล็กน้อยโดยใช้แขน ข้อศอก หัวไหล่รับน้ำหนัก

– งอเข่าข้างใดข้างหนึ่งก็ได้เข้าหาทำตัว อีกข้างเหยียดตรงแต่ยกลอยสูงจากพื้นเล็กน้อย หายใจออก

– ค่อย ๆ สลับข้างถีบขา คล้ายกับปั่นจักรยานในอากาศ อย่ากลั้นหายใจระหว่างทำท่า

– ทำท่านี้ประมาณ 2-3 เซ็ต เซ็ตละ 10 ครั้ง

4. ท่า Shoulder Bridge หรือสะพานโค้ง ท่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง สะโพกกระชับ หลัง ไหล่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น

– ให้นอนหงายเช่นเดิม ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น โดยที่เท้าสองข้างชี้ตรงไปข้างหน้าและขนานกัน เช็คได้โดยใช้มือจับส้นเท้าดู หากจับถึงแสดงว่าเท้าวางในตำแหน่งที่พอดี จากนั้นเอามือวางข้างลำตัว และระวังอย่าให้ปลายเท้าแบะออกไปด้านข้าง

– ค่อย ๆ ยกลำตัวขึ้น โดยที่แขนและหัวไหล่ยังแนบกับพื้น ระหว่างยกลำตัวให้เกร็งหน้าท้องค้างไว้สักครู่แล้ววางลำตัวลง ทำซ้ำต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง หายใจเข้าออกปกติ

5. ท่า Corkscrew เป็นท่าช่วยไล่ไขมันหน้าท้อง ทำให้มีหน้าท้องที่แบนราบ

– ยังคงนอนราบกับเสื่อ วางแขนข้างลำตัว หายใจเข้าแล้วหายใจออกพร้อมยกขาเหยียดตรงทำมุมประมาณ 90 องศา

– หายใจเข้า เกร็งหน้าท้อง ขาเหยียดตรงชิดกัน จากนั้นจึงค่อย ๆ หมุนขาไปทางด้านซ้ายวนเป็นวงกลมจนมาจบที่จุดเดิม คือยังยกขาในระดับ 90 องศาเหมือนเดิม ค่อย ๆ หายใจออกทางปาก

– หายใจเข้า เกร็งหน้าท้อง หมุนขาไปทางด้านขวาเป็นวงกลมเช่นเดิม จนมาจบที่จุดเริ่มต้นพร้อมหายใจออกทางปาก ให้ทำซ้ำหมุนวนสลับข้างไปมาอีก 8-10 ครั้ง

– ข้อควรระวัง พยายามอย่าเกร็งช่วงลำคอขณะทำท่า ศีรษะ แขนและหัวไหล่ต้องไม่ยกจากพื้น

สำหรับท่าออกกำลังกายแบบพิลาทิสทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เมื่อทำเป็นประจำรับรองว่าคุณจะไม่มีไขมันมากวนใจ แถมได้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง ซึ่งมือใหม่หรือคนที่อาจจะเคยออกกำลังกายแบบอื่นมาแล้ว อาจจะลองใช้ท่าพิลาทิสเหล่านี้เข้าไปผสมผสานเพื่อให้การออกกำลังกายลดพุงแบบเดิมไม่น่าเบื่อ ทำเองได้ง่าย ๆ แถมไม่ต้องเดินทางไปยิมให้เสียเวลาอีกด้วย

อยากหุ่นดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม มาออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยวิธี Body Balance กันเถอะ

เมื่อเทรนด์รักสุขภาพมาแรงอย่างต่อเนื่อง คนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและรูปร่างกันมากขึ้น ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเห็นคนมีรูปร่างดี ผิวพรรณสดใสกันเต็มไปหมด การออกกำลังกายแบบ Body Balance ก็เป็นหนึ่งในการออกกำลังที่ช่วยดูแลสุขภาพได้ดีมาก และตอนนี้เป็นที่ยอมรับว่ามีทางเลือกสำหรับการออกกำลังกายมากมายหลายวิธี เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนที่ไม่เคยออกกำลังกายหรือมีข้ออ้างต่าง ๆ อยากหันมาออกกำลังกายเป็นประจำมากขึ้น เราจึงอยากนำเสนอให้คุณมาออกกำลังกายแบบบอดี้บาลานซ์ ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายอย่างที่คุณอาจจะนึกไม่ถึงมาก่อน

ออกกำลังกายแบบ Body Balance เบา ๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล

Body Balance คือการออกกำลังกายแบบที่ไม่หนักมากเกินไป คนที่อยากเข้าฟิตเนสแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มออกกำลังกายแบบไหนหรือไปเข้าคลาสไหนดี แนะนำว่าสามารถเริ่มออกกำลังกายด้วยคลาสบอดี้บาลานซ์ได้ง่ายมาก เพราะบอดี้บาลานซ์ คือ การรวมการออกกำลังกายไว้ 3 แบบด้วยกัน นั่นคือ ไทชิ โยคะ และพิลาทิส เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายเริ่มด้วยการวอร์มอัพร่างกายแบบไทชิ หรือโยคะให้พร้อมก่อนไปสู่สเต็ปต่อไป จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางคือโยคะ และพิลาทิส โดยเพิ่มน้ำหนักในการเคลื่อนไหวมากขึ้นบวกกับการที่ต้องควบคุมลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ให้สัมพันธ์ไปพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวร่างกายในท่วงท่าต่าง ๆ

การเล่น Body Balance ในแต่ละคลาส จะมีครูฝึกเป็นผู้นำเพื่อให้คนที่เข้าคลาสได้ทำท่าตามอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะมือใหม่ที่เริ่มต้นเข้าคลาส โดยส่วนใหญ่แล้วครูฝึกจะเตรียมกำหนดท่าทางต่าง ๆ มาเป็นอย่างดี บรรยากาศการออกกำลังกายแบบบอดี้บาลานซ์จะมีเพลงที่เปิดไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายประมาณ 10-11 เพลงในแต่ละช่วงของเพลงจะมีท่าให้เล่นประมาณ 4-5 ท่า ซึ่งเป็นเพลงร่วมสมัยให้ผู้เล่นเกิดความรู้สึกผ่อนคลายและยังทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ส่วนทำนองเพลงที่ใช้มักจะกำหนดมาอย่างเหมาะสม และลงตัวกับท่วงท่าในการออกกำลังกาย ซึ่งเราขอนำเสนอท่าต่าง ๆของคลาสบอดี้บานลานซ์ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นสำหรับคนที่สนใจกันคร่าว ๆ ดังนี้

ท่ามาตรฐานของการออกกำลังกายแบบ Body Balance

เริ่มต้นคลาสเพลงที่ 1 Warm up หรืออบอุ่นร่างกายด้วยการทำไทชิ (หรืออาจจะเริ่มด้วยท่าอบอุ่นร่างกายแบบโยคะก็ได้)

เพลงที่ 2 ท่า Sun Salutation หรือเรียกว่า ท่าไหว้พระอาทิตย์ เป็นท่าโยคะพื้นฐานที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ทุกส่วน

เพลงที่ 3 การฝึก Standing Strength เป็นท่าที่ช่วยเน้นสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาได้ดีเยี่ยม

เพลงที่ 4 ฝึกท่า Balance เป็นท่าฝึกการทรงตัวของร่างกาย

 เพลงที่ 5 การฝึกท่า Hip Opener หรือท่าเปิดสะโพก เป็นหนึ่งในท่าออกกำลังแบบโยคะ

เพลงที่ 6 การฝึก Abdominal การนำท่าเล่นที่เน้นบริหารช่วงท้องตามแบบพิลาทิส

เพลงที่ 7 การฝึก Core Back ท่าฝึกความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง

เพลงที่ 8 การทำท่า Twist เป็นท่าการบิด ยืดลำตัว หน้าอกและหัวไหล่เป็นต้น

เพลงที่ 9 การฝึก Hamstring Stretch เป็นท่ายืดเหยียดที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ทำให้เกิดความยืดหยุ่น

เพลงที่ 10 Relaxation เป็นช่วงของการผ่อนคลายร่างกาย เช่น การนอนนิ่ง ๆ ในท่าศพแบบโยคะ และกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบช้า ๆ

เพลงที่ 11 Recover เป็นการดึงพลังของร่างกายให้กลับมารู้สึกตัวหลังจากที่ได้นอนพักนิ่ง ๆ ไปแล้วเป็นการปิดท้ายของการออกกำลังแบบบอดี้บาลานซ์

เมื่อพิจารณาจากการฝึกท่าต่าง ๆ แบบ Body Balance ตามข้างบน จะเห็นว่าทุก ๆ ท่าที่ฝึก ต่างได้ให้ประโยชน์ในทุกส่วนของร่างกาย ทั้งได้ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความสมดุลและที่สำคัญการทำท่าอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้เล่นมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหว รวมถึงการกำหนดลมหายใจที่ถูกต้องสามารถช่วยในเรื่องการผ่อนคลายของจิตใจและร่างกายได้ดีเยี่ยม หากฝึกบอดี้บาลานซ์เป็นประจำรับรองว่าจะทำให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงจากภายใน มีรูปร่างที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม บุคลิกดีและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ถือว่าได้ออกกำลังกายเบา ๆ แต่ได้ประโยชน์ไม่เบาเลยทีเดียว

การฝึกโยคะด้วยท่าไหว้พระอาทิตย์ ท่าพื้นฐาน แต่มีประโยชน์ขั้นเทพ

โยคะ ถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในด้านการออกกำลังกายที่มีรากฐานมาจากประเทศอินเดีย เพราะผู้ฝึกโยคะนอกจากจะได้ปรับสมดุลของร่างกายให้มีทั้งความยืดหยุ่นและความแข็งแรง โยคะยังช่วยให้จิตใจของผู้ฝึกมีความสงบและผ่อนคลายได้อย่างเหลือเชื่อ ถ้าหากจะเอ่ยถึงประวัติความเป็นมา การฝึกฝนท่าต่าง ๆ ของโยคะทั้งหมด ก็คงจะต้องใช้เวลามากพอสมควร วันนี้จึงขอหยิบยกท่าโยคะที่เรียกง่าย ๆ ว่า “ท่าไหว้พระอาทิตย์” ซึ่งเป็นท่าพื้นฐานสำหรับการเริ่มต้นไปสู่การฝึกฝนโยคะในท่าอื่น ๆ ต่อไป

ท่าไหว้พระอาทิตย์ (Sun Salutation) 12 ท่า ฝึกง่าย ให้ประโยชน์เยอะ

ท่าไหว้พระอาทิตย์” หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ “สุริยนมัสการ” (Surya Namaskar) เป็นท่าโยคะที่เปรียบเสมือนท่าไหว้ครูและเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อพระอาทิตย์ ซึ่งจะต้องทำท่าต่อเนื่อง 12 ท่าต่อ 1 รอบ เป็นการการอบอุ่นร่างกายในช่วงเริ่มต้นของการฝึกโยคะ ผู้ฝึกจะต้องทำประมาณ 6-12 รอบ เพื่อเตรียมร่างกายให้มีความพร้อมของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่าง ๆ ในการฝึกในท่าต่อไป และเราขอนำชุดท่าไหว้พระอาทิตย์ทั้ง 12 ท่ามาให้คุณได้ลองฝึกตามแบบง่าย ๆ กัน ดังนี้

1. ท่าสัมมาทิฐิ ยืนตรงบริเวณหัวเสื่อโยคะ หัวแม่เท้าชิดกัน แยกส้นเท้าออกเล็กน้อย มองตรงไปข้างหน้า จากนั้นค่อย ๆ พนมมือไว้กลางอก ระหว่างนี้หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกยาว ๆ

2. ท่าพระจันทร์เสี้ยว หายใจเข้าแล้วเหยียดแขนตรงขึ้นไปจนสุด ยืดกระดูกสันหลัง ยืดอกขึ้น ค่อย ๆ เอนตัวไปด้านหลัง แขนควรแนบใบหูทั้งสอง เงยหน้า สายตามองที่มือ

3. ท่ายืนก้มตัว ให้หายใจออกช้า ๆ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าจนฝ่ามือราบกับพื้น ผู้ฝึกใหม่อาจจะยังไม่สามารถใช้ฝ่ามือแตะพื้นได้จึงไม่ควรฝืน ให้ใช้มือจับที่ข้อเท้าแทน เหยียดขาตรง น้ำหนักลงปลายเท้า แต่หากปวดหลังสามารถงอเข่าได้เล็กน้อย ปล่อยศีรษะตามสบาย เมื่อฝึกบ่อย ๆ ร่างกายจะสามารถค่อย ๆ ยืดไปจนฝ่ามือแตะถึงพื้นได้เอง

4. ท่า Low Lounge หายใจเข้าช้า ๆ ฝ่ามือวางราบกับพื้น แล้วถอยเท้าขวาไปด้านหลัง วางเข่าขวาลงบนเสื่อ ยกตัวขึ้นมาให้หลังตรง ลดสะโพกให้ต่ำลงและยืดอกขึ้น เงยหน้าเชยคางเล็กน้อย มือสองข้างปล่อยข้างลำตัว หากฝึกเป็นประจำ จนตัวยืดหยุ่นดีเราจะใช้มือแตะพื้นได้เอง

5. ท่ากระดาน วางมือลงบนพื้นด้านหน้า แล้วถอยเท้าซ้ายคู่กับเท้าขวา ทำตัวตรง ขาตรงเป็นแนวกระดาน แขม่วหน้าท้องเล็กน้อย มองตรงไปด้านหน้า

6. ท่า 8 จุดสัมผัส หายใจออกช้า ๆ ลดเข่าแตะพื้นทั้งสองข้าง ปลายเท้าตั้ง แล้วค่อย ๆ ลดอกแตะพื้น ให้ก้นโด่งไว้ จากนั้นจึงใช้คางสัมผัสพื้นเบา ๆ ควรระวังอย่าให้น้ำหนักลงที่คาง ท่านี้ต้องใช้มือดันพื้นเพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก ข้อศอกต้องหนีบเข้าหาลำตัว

7. ท่างู หายใจเข้าช้า ๆ ค่อย ๆ เลื้อยตัวไปข้างหน้า ยืดอกหรือพยายามดันอกไปด้านหน้า มือยันพื้นพยายามกดไหล่ให้ห่างหู เชยคางขึ้นเล็กน้อย

8. ท่า Downward Facing Dog หายใจออกช้า ๆ เอามือยันพื้นไว้ แขนเหยียดตรงแล้วดันสะโพกไปด้านหลังให้ก้นโด่งขึ้น ขาสองข้างเหยียดตรงและกระตุกเข่าให้ตรง พยายามอย่าเกร็งบ่า ไหล่ และศีรษะ ควรทิ้งลงสบาย ๆ ท่านี้ผู้ฝึกใหม่ ส้นเท้าอาจจะยังไม่สามารถวางแตะพื้นได้ ก็ให้ยกส้นเท้าไว้แต่ขาต้องเหยียดตรง

9. ท่า Low Lounge หายใจเข้า เงยหน้าแล้วก้าวเท้าขวาให้ไปอยู่ระหว่างมือ ถ้ายังไม่ถึงก็ค่อย ๆ กระเถิบเท้าไป วางเข่าซ้ายลง แล้วยกตัวขึ้นมา ยืดอกและลดสะโพกลงให้มากที่สุด (ทำคล้ายกับท่าที่ 4 แต่สลับข้างกัน)

10. ท่ายืนก้มตัว หายใจออก ก้าวเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา ก้มพับตัวลงไปและเหยียดขาตรง (งอได้เล็กน้อยหากรู้สึกปวดหลัง) น้ำหนักลงปลายเท้า มือวางราบกับพื้นหรือจับข้อเท้าไว้

11. กลับมาท่าพระจันทร์เสี้ยว หายใจเข้า เหยียดแขนขึ้นตรง ยืดอก ยืดลำตัวขึ้นและแอ่นหลังเล็กน้อย ท่านี้ต้องระวังการปวดหลังล่างจากการแอ่นมากเกินไป

12. สัมมาทิฐิ กลับมาที่ท่าแรก หายใจออก ลดมือลงมาพนมไว้ที่หน้าอก น้ำหนักลงที่ส้นเท้า หน้ามองตรง นับเป็น 1 รอบ และเตรียมพร้อมขึ้นต้นท่าใหม่ในรอบถัดไป

ชุดท่าไหว้พระอาทิตย์ทั้ง 12 กระบวนท่านั้น หากฝึกเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะในยามเช้า จะทำให้คุณรู้สึกมีพลังและมีความสดชื่นพร้อมที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ ในวันนั้นต่อไปได้ดี เมื่อฝึกเป็นประจำ ร่างกายจะเริ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้น กล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็นต่าง ๆ จะมีความแข็งแรง ส่วนจิตใจของผู้ฝึกก็จะไม่มีความเครียด รู้สึกสงบและมีสติมากขึ้นด้วย ลองหันมาฝึกโยคะกันรับรองจะต้องติดใจแน่นอน

หากคุณกำลังเครียด ลองผ่อนคลายด้วยการเล่นโยคะดูมั้ย

การออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะนั้น เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสาว ๆ ที่หลงไหลในการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ มักหาเวลาว่างในการเล่นโยคะอยู่เสมอ แล้วการเล่นโยคะที่สาว ๆ ชอบกันนั้น ให้ประโยชน์อะไรกับร่างกายของเราบ้างล่ะ?

การเล่นโยคะเป็นการออกกำลังกายที่เสริมสร้างความยืดหยุ่นของร่างกายได้เป็นอย่างดี ทำให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่น และอ่อนตัวมากขึ้น ส่งผลให้การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น การเล่นโยคะเป็นประจำยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออีกด้วย ซึ่งการเล่นโยคะจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพความอึดทนของร่างกายได้เป็นอย่างดี  

นอกจากความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และความแข็งแรงแล้ว การเล่นโยคะอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ร่างกายมีความสมดุลมากขึ้น มีบุคลิกที่ดีมากยิ่งขึ้น หลายคนต้องนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ การนั่งทำงานนาน ๆ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดความเมื่อยล้า และทำให้นั่งหลังค่อมอยู่เป็นประจำโดยไม่รู้ตัว การเล่นโยคะจะช่วยแก้อาการเหล่านี้ ทั้งยังลดอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อกล้ามเนื้อแกนกลางของเราแข็งแรงจะทำให้เรานั่งทำงานอย่างสมดุล เกิดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะนั่ง ยืน หรือเดิน ทั้งยังส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้ออีกต่างหาก

อีกหนึ่งประโยชน์ที่สำคัญ ที่ได้รับจากการเล่นโยคะเลย และเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เลือกเล่นโยคะเพราะ อยากให้การออกกำลังกายที่เราเลือกเล่นนั้น ช่วยลดความตึงเครียด ผ่อนคลายความกังวล จากความเครียดที่เกิดจากการทำงานของเราได้ เมื่อคุณเล่นโยะคะคุณจะต้องฝึกในส่วนของการหายใจ และต้องกำหนดลมหายใจระหว่างการเล่น การเล่นโยคะบางท่าจะต้องใช้สมาธิและโฟกัสไปที่ลมหายใจ ส่งผลให้ผู้เล่นมีการหายใจที่ดีขึ้น จิตใจสงบ เนื่องจากขณะที่ฝึก หรือเล่นโยคะนั้น จะต้องใช้สมาธิโฟกัสไปกับท่าทางต่าง ๆ และการกำหนดลมหายใจ ฉะนั้นเมื่อเล่นโยคะเป็นเวลานาน ๆ ก็จะช่วยลดความตึงเครียด ทำให้จิตใจผ่อนคลาย ไม่โฟกัสไปที่ปัญหา หรือการทำงานต่าง ๆ มากจนเกินไป ทั้งเมื่อเราใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้แล้ว ผลจากการมีสมาธิ สติ ที่จดจ่อกับสิ่งนั้น ๆ ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีสมาธิ และสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจอปัญหาใด ๆ ก็สามารถหยุดคิดไตร่ตรองและแก้ปัญหากับสิ่งนั้นได้

การเล่นโยคะเป็นการออกกำลังกายที่ ได้ประโยชน์ต่อผู้ฝึก หรือผู้เล่นทั้งจากภายในและภายนอกไปพร้อม ๆ กัน นอกจากมันจะช่วยสร้างความแข็งแรงต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับจิตใจของผู้เล่นได้อีกด้วย หากใครที่อยากออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และฝึกสมาธิ ผ่อนเบาความตึงเครียดไปในขณะเดียวกัน การเล่นโยคะก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่สนใจในการออกกำลังกายเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

บอดี้เวทแบบคนไม่มีเวลาก็เล่นได้

เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่อยู่ในแวดวงการออกกำลังกาย คนรักสุขภาพ หรือคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ คงจะคุ้มหูกันดีกับคำว่า “บอดี้เวท” แล้วบอดี้เวทมันดีอย่างไร เหมาะสำหรับใครบ้าง?

บอดี้เวทคือ การออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการออกกำลังกายที่สะดวก เพียงแค่มีเวลาในการออกกำลังกาย ก็สามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ โดยไม่ต้องพึงพาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการออกกำลังกายเลยแม้แต่น้อย

การออกกำลังกายโดยบอดี้เวท จะเป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัว หรือน้ำหนักของร่างกายเราในการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายเกิดแรงต้าน จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายโดยการบอดี้เวท ก็เหมือนกับการที่เราไปเข้ายิมและยกแผ่นเหล็ก (เวทเทรนด์นิ่ง) นั่นแหละ เพียงแต่การออกกำลังกายโดยบอดี้เวท เราไม่สามารถบวกเพิ่มน้ำหนักในการออกกำลังกาย หรือลดน้ำหนักได้ ฉะนั้นในส่วนนี้ก็อาจจะเป็นปัญหาได้เช่นกัน

การใช้ร่างกายออกกำลังที่รู้จักกันดีเลยก็คือ การวิดพื้น, ซิทอัพ, หรือการสควอท การออกกำลังกายโดยการบอดี้เวท จริง ๆ ผู้ที่รักในการออกกำลังกายสามารถที่จะเล่นบอดี้เวทได้กันทั้งนั้น แต่เนื่องด้วยบอดี้เวท ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย และไม่ต้องไปตามหาสถานที่ในการเล่น ขอแค่มีพื้นที่เล็ก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ ก็สามารถออกกำลังกายได้แล้ว จึงเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก ไม่อยากเสียเวลาเดินทางในการไปออกกำลังกายที่ยิม อีกทั้งการออกกำลังกายโดยการบอดี้เวทไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย สำหรับท่านที่ไม่อยากเสียสตางค์ของท่านไปสมัครเป็นสมาชิกของคลิบในยิม ก็สามารถที่จะศึกษาวิธีการออกกำลังกายโดยการบอดี้เวท และออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน คอนโด หรือแม้แต่ที่ทำงานได้เลย

ประโยชน์ของการออกกำลังกายโดยการบอดี้เวท การออกกำลังกายแบบนี้ถ้าหากศึกษา และทำเป็นเซ็ทอย่างต่อเนื่องแล้ว จะสามารถเบิร์นไขมันได้เป็นอย่างดี ช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่จริง ๆ การบอดี้เวทก็มีข้อเสียสำหรับบางคนเหมือนกัน อาทิเช่น คนที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ด้วยกายใช้น้ำหนักตัวเอง อาจจะเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือน้อยจนเกินไป จึงไม่สามารถใช้กำลังของตัวเองยกน้ำหนักตัวเองได้ สำหรับคนที่ไม่สามารถออกกำลังกายโดยการบอดี้เวท การไปเข้ายิมออกกำลังกายโดยใช้ตัวช่วยอย่างการเวทเทรนด์นิ่งก็อาจจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกว่า เพราะสามารถปรับลดน้ำหนัก หรือเพิ่มน้ำหนักเพื่อช่วยในการออกกำลังกายได้

การออกกำลังกายโดยการบอดี้เวทก็สามารถเสริมสร้างร่างกายของเราให้แข็งแรงได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเวลามากเลย ขอแค่คุณรักในการออกกำลังกายไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือมีเวลาน้อยเพียงใดก็สามารถที่จะออกกำลังกายได้

ทำไมเวทเทรนนิ่งถึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อก่อนนี้การออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งถูกมองว่าเป็นกีฬาเฉพาะกลุ่มของผู้เป็นนักกีฬาเท่านั้น จึงทำให้ยังไม่มีกลุ่มคนนิยมออกกำลังกายโดยกายเวทเทรนนิ่งมากนัก แต่ปัจจุบันเทรนด์การออกกำลังกายในยิม การเล่นเวท เพื่อที่จะฟิตหุ้น ฟิตรูปร่างของตัวเองให้ดูดี และเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำไมการออกกำลังกายประเภทนี้ถึงได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง เพศชาย หรือแม้แต่เพศอื่น ๆ ก็ตาม

เวทเทรนนิ่งคือการออกกำลังกายโดยใช้ทั้งบอดี้ของร่างกายเรา หรือใช้อุปกรณ์ถ่วงน้ำหนักต่าง ๆ อย่างเช่น ดัมเบล, บาร์เบล เพื่อให้กล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดแรงต้าน หรือได้ใช้แรงของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ ในการทำงานมากขึ้น การเล่นเวทเทรนนิ่งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

การดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการดูแลตั้งแต่ภายในแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังให้ความสำคัญถึงบุคลิกภาพภายนอกอีกด้วย แน่นอนว่าการออกกำลังกายโดยการเวทเทรนนิ่งทำให้เกิดมวลกล้ามเนื้อ อย่างคุณผู้ชายเวลาใส่เสื้อผ้าก็จะดูฟิตเฟิร์มมากขึ้น ในส่วนของคุณผู้หญิงเองก็อยากจะมีหุ้นที่ผอมบางสวยงาม หรือเรียกว่าอยากมีบุคลิกที่ดี เสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง เมื่อมีบุคลิกที่ดีมีความมั่นใจ ก็จะส่งผลให้การดำเนินชีวิต การทำงานต่าง ๆ ดีขึ้นตามมาอีกด้วย

สุขภาพร่างกายที่แข็งแกร่งมากขึ้น เชื่อว่าหลายคนที่ชอบออกกำลังกาย หรือไม่ชอบก็ตามแต่ ทุกคนออกกำลังกายเพื่อที่อยากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีสุขภาพที่ดีกันทั้งนั้น การออกกำลังกายโดยการเวทเทรนนิ่ง จะช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อและทำให้ร่างการแข็งแรงมากขึ้น นอกจากจะทำให้มีบุคลิกที่ดีแล้วยังทำให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีอีกด้วย

การส่งต่อแรงบรรดาลใจ เวทเทรนนิ่งเปลี่ยนหุ่นให้ดีขึ้น การที่เวทเทรนนิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น เชื่อว่าเป็นเพราะผู้คนในปัจจุบันอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะเห็นได้จากคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วมก็อยากจะมีรูปร่างที่ดี หรือแม้แต่คนที่ผอมเกินไปก็ตามก็อยากจะเปลี่ยนหุ่นของตัวเองที่ผอมแห้งให้มีความสมดุล มีร่างกายที่สมส่วนมากขึ้น และเมื่อมีคนที่ทำได้ สื่อโซเซียลมีเดียในยุคนี้ทำให้การส่งต่อแรงบรรดาลใจทำได้ง่ายมากขึ้น คุณลองคิดดูนะครับว่าถ้าหากมีคนที่น้ำหนักมาก ๆ อ้วนท้วมมาก่อน กลับกลายมาเป็นคนที่มีรูปร่างที่ดี และสุขภาพที่ดี ทำให้คนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองลุกขึ้นมาออกกำลังกายโดยการเวทเทรนนิ่งมากยิ่งขึ้น เพราะรู้สึกว่าคนอื่นทำได้เราก็ทำได้เช่นกัน

ดังนั้นการเล่นเวทเทรนนิ่งจึงได้รับความนิยมมากขึ้น และยังคงจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่อ้วนท้วม ผอมแห้ง ร่างกายไม่สมส่วน คุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งไม่ได้ดีเสมอไป

การออกกำลังกายที่ดีนั้น นอกจากจะเป็นการออกกำลังกายที่ถูกต้องตามวิธีการของกีฬาประเภทนั้น ๆ หรือการใช้อุปกรณ์ในการออกกำลังกายที่เหมาะสมแล้ว การออกกำลังกายในสถานที่ที่มีอากศบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้คนในปัจจุบันหันมาออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพกันมากขึ้น แต่คำถามคือ การออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งนั้นทำให้ผู้ออกกำลังกายมีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นจริงหรือไม่ ต้องยอมรับว่าปัญหามลพิษ และฝุ่นควันในปัจจุบันรุนแรงมากขึ้น และเป็นปัญหาที่มีผลกระทบไปทั่วบริเวณ ส่งผลต่อการการดำเนินชีวิตของผู้คนเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่ารวมไปถึงการออกกำลังกายด้วย

บางคนชอบการออกกำลังกายในที่กลางแจ้ง โล่งโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งไปตามสตรีท ตามข้างถนน หรือแม้แต่การไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะต่าง ๆ ที่เป็นบริเวณที่โล่งแจ้ง การออกกำลังกายในที่โปร่งโล่งเป็นเรื่องที่ดีหากสภาพแวดล้อมของสถานที่ ที่ผู้คนๆ เลือกใช้ในการออกกำลัง เป็นสถานที่ที่ดี ไม่เป็นมลพิษ แต่ก็อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้วผู้คนเหล่านี้ ที่ออกมาออกกำลังกายแบบนี้นั้น จะมีสุขภาพที่แข็งแรงจริง ๆ หรือไม่

การออกมาวิ่งข้างถนน เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง ในพื้นที่ ๆ แออัดในความหมายที่ว่า มีการจราจรติดขัดหนาแน่น หรือมีโรงงานอุสาหกรรมค่อนข้างเยอะ การที่เราออกมาวิ่งตามถนนที่มีความแออัดสูงนั้นจะส่งผลให้ขณะที่เรากำลังออกกำลังกาย จะต้องสูดดมมลพิษไปเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น ควันจากท่อไอเสียของรถก็ตาม หรือแม้แต่ควันจากการปล่อยของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมก็ตาม

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยมลพิษ การออกกำลังกายในสวนสาธารณะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราสามารถที่จะออกกำลังกายได้อย่างมีคุณภาพ สูดลมหายใจได้อย่างเต็มที่ แต่ปัญหาคือสวนสาธารณะที่ค่อนข้างอยู่ใจกลางเมืองมาก ๆ สภาพแวดล้อมรอบ ๆ สวนสาธารณะมักจะมีแต่มลพิษ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นควันรถยนต์ต่าง ๆ หากคุณสามารถหลีกเลี่ยงไปใช้สวนสาธารณะที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษแล้วนั้น จะช่วยให้การออกกำลังกายของเพื่อน ๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การออกกำลังกายในพื้นที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ หากพื้นที่ที่คุณออกกำลังกายอยู่เป็นประจำมีความแออัดของมลพิษของข้างสูง ควรหลีกเลี่ยงกับการออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง อาจจะเปลี่ยนเป็นการไปออกกำลังกายตามคลับฟิตเนสแทน ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้เรารู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่ทำให้เราต้องสูดควัน มลพิษต่าง ๆ ซ้ำ ๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย

การออกกำลังกายที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่ถูกต้องถูกวิธี การมีอุปกณ์ในการออกกำลังกายที่เหมาะสม มีความพอดิบพอดีกับสัดส่วนของร่างกายแล้ว การเลือกสถานที่ หรือพื้นที่ในการออกกำลังกาย ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ไปกว่ากันเลย

ข้อดีและข้อเสีย ของก่อนออกกำลังกายตอนเช้าก่อนไปทำงาน

หลายคนตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการออกกำลังกายในตอนเช้า ก่อนที่จะออกไปทำงาน มันดีอย่างไร? ส่วนใหญ่แล้วเราจะพบเห็นผู้คนมาออกกำลังกายช่วงเย็นสะมากกว่า

วันนี้เราจะไปดูข้อดีและข้อเสียของมันกัน

  1. เสริมสร้างระเบียบวินัย บางทีแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการตื่นมาออกกำลังกายตอนเช้าก็สามารถสร้างระเบียบวินัยให้กับตัวเราเองได้ เพราะว่าเราจะต้องจัดการเวลาในการออกกำลังกายและเวลาในการเตรียมตัวไปทำงานให้ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นคนมีวินัยในการจัดการสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
  2. แอคทีฟในการทำงานมากขึ้น เมื่อเราได้ออกกำลังกายก่อนที่จะออกไปทำงานนั้น จะทำให้ร่างกายเราถูกกระตุ้นและทำให้รู้สึกตื่นตัว แอคทีฟอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการใช้แรงจากอวัยภายนอกของร่างกายในการทำงาน หยิบจับอะไรก็จะกระปี้กระเป่าไปเสียหมด หรือใช้อวัยวะภายในอย่างเช่นสมองก็ตาม ทำให้สามารถคิดงานหรือเกิดไอเดียดี ๆ ระหว่างวันได้
  3. มีเวลามากขึ้น ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะออกกำลังกายหลังเลิกงาน ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเย็น หรือช่วงหัวค่ำก็ตาม การที่เราตื่นเช้าขึ้นและได้ออกกำลังกายในช่วงเช้านั้น จึงทำให้ช่วงเวลาในตอนเย็นหลังเลิกงานของเราจะเหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ สามารถบริหารจัดการเวลาตรงนี้ไปทำสิ่งอื่นเพิ่มเติมได้อีกด้วย
  4. นอนหลับสนิท ข้อนี้เป็นข้อที่ค่อนข้างดีมาก ๆ สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการนอน นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับแต่ก็หลับไม่สนิท การที่เราตื่นเช้าและไปออกกำลังกายก่อนออกไปทำงานนั้น ทำให้เราใช้พลังงานระหว่างวันไปค่อนข้างเยอะ เมื่อถึงเวลานอนจึงทำให้สามารถหลับได้ง่ายขึ้น และหลับลึกมากขึ้น

เมื่อพูดถึงข้อดีของการออกกำลังกายในตอนเช้าไปแล้ว เราลองมาดูข้อเสียของมันบ้างเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเสมอ

  1. รู้สึกเพลียและง่วงในช่วงเย็น สำหรับบางคนแล้วการใช้พลังงานไปมาก ๆ ระหว่างวันก็จะทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนบ่าย หรือในช่วงเย็น ๆ ฉะนั้นในช่วงเย็นอาจจะต้องบริหารจัดการกับเวลา ไม่ทำงานหรือทำกิจกรรมที่ค่อนข้างใช้ไอเดียมาก ๆ เพราะความเหนื่อยล้าระหว่างวัน ทำให้โฟกัสงานงานหรือกิจกรรมที่ใช้สมาธิมาก ๆ ได้ไม่ดีนัก
  2. รู้สึกล้าตามอวัยวะของร่างกายที่ใช้ออกกำลังกาย บางคนต้องใช้อวัยวะบางส่วนในการทำงานซ้ำ ๆ หลังจากออกกำลังกายแล้ว การไปทำงานต่ออาจจะส่งผลให้เมื่อยล้าอวัยวะส่วนนั้น เช่น การเซ็นเอกสารเยอะ ๆ การออกกำลังกายอย่างการยกน้ำหนักมาก ๆ ก็จะทำให้รู้สึกเมื่อยตามนิ้วมือ หรือข้อมือได้ เป็นต้น

เห็นมั้ยการตื่นแต่เช้าไปวิ่งตามสวนสาธารณะหรือเข้ายิมเพื่อไปเล่นเวทก่อนออกไปทำงานนั้น ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียของมันอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะชั่งน้ำหนักไปทางไหน หรือเลือกที่จะโฟกัสทางที่ดีมากกว่าข้อเสียหรือเปล่า ถ้าข้อดีมันมากกว่าข้อเสีย ก็ตื่นไปออกกำลังกายตอนเช้ากันเถอะ