Tom Carpenter

คู่พี่น้องสองตระกูล นักกีฬาไทย ดังไกลระดับโลก

วงการกีฬาของไทยมีนักกีฬาที่ทั้งเก่งและมีศักยภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก สามารถไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมามากมาย ที่น่าสนใจอีกอย่างคือบ้านเรายังมีคู่พี่น้องนักกีฬาที่จูงมือกันมาแจ้งเกิดกันทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ไปดูกันว่ามีพี่น้องตระกูลไหนอยู่ในวงการกีฬาชนิดใดบ้างดีกว่า

คู่พี่น้องสองสาวแห่งวงการกีฬากอล์ฟไทย กับฝีมือวงสวิงที่ไม่ธรรมดา

หากพูดถึงกีฬาที่มีนักกีฬาของไทยไปสร้างชื่อเสียงและทำผลงานได้ดีระดับโลก หนึ่งในนั้นคือกีฬากอล์ฟที่ได้รับความนิยมมากไม่แพ้กีฬาประเภทอื่น วงการนักกอล์ฟของไทยไม่มีใครที่ไม่รู้จักสองสาวที่ชื่อว่า เอรียา – โมรียา จุฑานุกาลหรือ “โปรเม” และ “โปรโม” สองศรีพี่น้องนักกอล์ฟชาวไทย

พี่น้องทั้งคู่ได้เทิร์นโปรในเวลาที่ใกล้เคียงกัน “โปรโม” หรือโมรียา พี่สาวได้ทำผลงานโดดเด่นจนเคยได้แชมป์และรองแชมป์ในรายการแข่งขันกอล์ฟในระดับมืออาชีพอย่างรายการแอลพีจีเอทัวร์มาแล้ว รวมถึงแชมป์จากรายการแข่งขันมือสมัครเล่นอีกมากมาย

โดยที่ “โปรเม” หรืออารียาผู้เป็นน้องสาวเองตอนเริ่มต้นเคยเข้าร่วมการแข่งขันจูเนียร์เวิลด์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ในฐานะตัวแทนของประเทศไทยและยังได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอีกด้วย ต่อมาโปรเมยังประสบความสำเร็จด้วยการเคยขึ้นไปครองแชมป์มือ 1 ของโลกด้วยวัยเพียง 21 ปีเท่านั้น รวมทั้งรางวัลแชมป์จากรายการแข่งขันกอล์ฟระดับมืออาชีพอีกมากมาย ทำให้พี่น้องคู่นี้มีผลงานที่ยิ่งพัฒนาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนทั้งสองเป็นที่รู้จักในฐานะนักกีฬากอล์ฟมืออาชีพชาวไทยและเป็นมือวางอันดับต้น ๆ ของรายการแข่งขันกอล์ฟระดับโลกใหญ่ ๆ หลายรายการ

คู่พี่น้องนักเตะฟุตบอลทีมชาติไทย ไปค้าแข้งไกลถึงยุโรป

มาพูดถึงกีฬาที่ได้รับความนิยมมายาวนานอีกประเภทหนึ่งของแฟนกีฬาชาวไทยและทั่วโลกตั้งแต่อย่าง ฟุตบอล กีฬาประเภททีมที่คอยสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมได้เสมอ ในประเทศไทยเองมีพี่น้องนักเตะทีมชาติที่เดินตามรอยกันและกันมาอย่าง “มุ้ย” ธีระศิลป์ แดงดา และ “ไหม” ธนีกาญจน์ แดงดา คู่พี่น้องชาย-หญิง ที่สร้างชื่อเสียงในวงการฟุตบอลไทยและยังพากันไปค้าแข้งในสโมสรฟุตบอลระดับโลกมาอีกด้วย

ธีระศิลป์ แดงดา ผู้เป็นพี่ชายและเป็นนักฟุตบอลที่เล่นในตำแหน่งกองหน้าทีมชาติไทย ด้วยฝีเท้าและทักษะที่มีทำให้เขาประสบความสำเร็จ นอกจากเป็นตัวแทนนักฟุตบอลทีมชาติไทยตั้งแต่รุ่นเยาวชนจนมาถึงตัวหลักของกองหน้าของทีมชาติชุดใหญ่ เขายังเคยได้มีโอกาสไปร่วมทีมกับสโมสรฟุตบอลชื่อดังในประเทศอังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน รวมถึงสโมสรในไทยและทีมสโมสรชั้นนำที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความสามารถของธีระศิลป์ยังเป็นที่ยอมรับของแฟนบอลต่างชาติแบบไม่ค้านสายตาด้วยการยิงประตูให้ทีมได้และพลิกสถานการณ์ให้ทีมกลับมาชนะหลายต่อหลายครั้ง

ธนีกาญจน์ แดงดา ฝ่ายน้องสาวมีความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลและเจริญรอยตามพี่ชายด้วยการเดินทางไปเข้าร่วมทีมสโมสรฟุตบอลในประเทศสวีเดน และยังเคยทำประตูให้กับทีมได้เช่นเดียวกับพี่ชาย นอกจากนี้ยังได้ร่วมทีมฟุตบอลหญิงชาติไทยชุดใหญ่ที่สามารถผ่านเข้ารอบไปชิงแชมป์โลกถึง 2 สมัยติดต่อกัน การันตีว่าสองพี่น้องคู่นี้มีความสามารถเต็มเปี่ยมและยังทำหน้าที่ในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยได้อย่างสมศักดิ์ศรี ที่สำคัญทั้งสองคนมีความมุ่งมั่นในฐานะนักกีฬามืออาชีพมากอีกด้วย

สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่ทำให้พี่น้องของสองตระกูลนี้ประสบความสำเร็จในด้านกีฬาไม่ใช่เพียงแค่รางวัลที่ได้ แต่ยังนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของครอบครัวและคนในประเทศ และความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้มาแบบง่าย ๆ แต่ต้องมีวินัย หมั่นฝึกฝนและมุ่งมั่นพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอโดยมีครอบครัวคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเยาวชนไทยที่มีความถนัดด้านกีฬาและมีความฝันว่าอยากจะก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาระดับมืออาชีพในอนาคต

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ออกกำลังกายแบบไหนถึงจะไม่เสี่ยง

การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเช่น โรคหัวใจ มีความจำเป็นอย่างมากเพราะจะช่วยให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น เพียงแต่ต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจจึงไม่ต้องกังวลว่าจะออกกำลังกายตามปกติไม่ได้ เรารวบรวมเทคนิคและวิธีการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อสภาพร่างกายมาไว้ที่นี่แล้ว

เทคนิคการออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจแข็งแรงขึ้น

หลายคนเข้าใจว่าเมื่อป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วคงจะหมดสิทธิ์ออกกำลังกายไปเลย แต่ความเป็นจริงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะคุณสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเพียงแต่ต้องปรับวิธีการให้พอเหมาะตามคำแนะนำของแพทย์ เราจึงรวบรวมเทคนิคต่าง ๆ มาให้คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจลองเอาไปใช้กันดู

1.ควรเลือกช่วงเวลาและสถานที่ของการออกกำลังกายให้เหมาะสม เช่น ออกกำลังกายในตอนเช้าเพราะอากาศไม่ร้อนจัด หรือเย็นจัดจนเกินไปและควรเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท

2.ควรออกกำลังกายหลังทานอาหารมื้อหลักประมาณ 1-2 ชั่วโมงและไม่ควรออกกำลังกายตอนท้องว่าง

3.ก่อนออกกำลังกายควรทำการวอร์มอัพร่างกายอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อป้องกันหรือลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ ระหว่างการออกกำลัง

4.เตรียมน้ำดื่มไว้ข้างตัวให้พร้อม อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจิบน้ำระหว่างออกกำลังกายเบา ๆ หรือดื่มน้ำประมาณ 1 แก้วก่อนเริ่มออกกำลังกาย

5.ควรเลือกวิธีออกกำลังกายแบบเบา ๆ จนถึงแบบหนักปานกลาง แต่หากไม่เคยออกกำลังมาก่อน ควรเริ่มจากวิธีเบา ๆ เช่น การเดินเร็ว ในช่วงแรกอาจจะเริ่มเดินแค่วันละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน จะทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป หลังจากนั้นเมื่อร่างกายเริ่มคุ้นเคยก็ค่อย ๆ ปรับเพิ่มเป็นวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง หรือเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะ ๆ หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่ เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเร็วขึ้น

หรือเลือกการว่ายน้ำเพราะน้ำเป็นตัวช่วยพยุงน้ำหนักอย่างดี ถึงแม้จะออกแรงมาก ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าออกกำลังกายบนบก แถมการว่ายน้ำยังเป็นการใช้กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนในร่างกาย และน้ำยังช่วยลดแรงกระแทกเวลาที่เราออกแรงทำให้ไม่บาดเจ็บง่าย

6.ควรหมั่นสังเกตุอาการของร่างกายในขณะออกกำลังกาย หากมีอาการหรือสัญญาณเตือนภัยต่าง ๆ ดังนี้ รู้สึกเหนื่อยมากผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว มีอาการแน่นหน้าอก หน้ามืดหรือเวียนหัว คลื่นไส้ ควรหยุดพักและหากเป็นไปได้ควรไปพบแพทย์ทันที แนะนำว่าไม่ควรไปออกกำลังกายคนเดียว ควรหาคนใกล้ชิดหรือเพื่อนไปด้วย เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันที

ประโยชน์ที่ได้จากการออกกำลังกายของผู้เป็นโรคหัวใจ

1.การออกกำลังกายจะช่วยฟื้นฟูหัวใจให้ทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดทำงานได้ดีจึงทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว กล้ามเนื้อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือด พูดง่าย ๆ ว่าทำให้การทำงานของหัวใจเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นนั่นเอง

2.ช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง เพราะการออกกำลังกายจะทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดลดลง

3.ช่วยป้องกันและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ รวมถึงโรคอื่น ๆ ลงได้ เช่น โรคอ้วน โรงมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

4.ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เฉพาะแค่หัวใจ แต่กล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกายยังได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระฉับกระเฉง ดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณสดใสขึ้นเพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อออกมาทางผิวหนังเป็นการช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

นอกจากเทคนิคของการออกกำลังกายสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจที่เรานำเสนอทั้งหมดนี้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ การควบคุมอาหารการกิน ควรกินอาหารในสัดส่วนที่พอเหมาะ รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันที่จะส่งผลให้ไปกระตุ้นอาการของโรคได้ เช่น การดื่ม ชา กาแฟมากเกินไป การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น ดังนั้นควรค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านี้ลงและหันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยมากขึ้นด้วย

อาการออฟฟิศซินโดรมหายแน่ แค่ใช้โยคะบำบัด 5 ท่า

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นอาการที่พนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ประสบพบเจอ เพราะการนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ต้องจ้องอยู่หน้าคอมทั้งวัน เป็นอย่างนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี จึงเกิดโรคที่เรียกว่าออฟฟิศซินโดรมขึ้นมา เช่น ปวดหลัง คอ ไหล่ บ่า สะบัก บางคนอาการหนักถึงขึ้นปวดหัว มึนงง ตาพร่าได้ แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฝึกโยคะ ที่จะช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรมทั้งหลายลงแบบได้ผล เรามีท่าโยคะที่สามารถทำได้ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน

ฝึกโยคะ 5 ท่าง่าย ฝึกเองได้ แก้อาการออฟฟิศซินโดรม

1.ท่ายืดกล้ามเนื้อไหล่ ปกติท่านี้จะเริ่มทำในตอนต้นของการฝึกโยคะก่อนเข้าไปสู่การฝึกในท่าอื่น ๆ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อไหล่ของเราผ่อนคลายและลดอาการปวดเมื่อยได้ดีมากทีเดียว ท่านี้สามารถนั่งทำหลังโต๊ะทำงานได้เลย

วิธีทำ ให้นั่งหลังตรง เหยียดแขนตรงไปด้านหน้าแล้วประสานมือดันไปด้านหน้า สูดลมหายใจเข้าค่อย ๆ ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปแนบศีรษะ ค่อย ๆ ดันฝ่ามือขึ้นด้านบน ให้ยืดแขนและฝ่ามือขึ้นไปจนรู้สึกตึงช่วงไหล่ แต่ไม่ต้องออกแรงเยอะมากเกินไป ที่สำคัญอย่ากลั้นลมหายใจ ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจแล้วค่อย ๆ หายใจออกและคลายแขนลงมา

2.ท่ายืดกล้ามเนื้อคอ ท่านี้สำหรับคนที่มีอาการปวดช่วงคอ เนื่องจากต้องจ้องมองจอคอมพิวเตอร์และนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ

วิธีทำ นั่งในท่าหลังตรง ค่อย ๆ เอื้อมมือซ้ายในลักษณะข้ามศีรษะไปจับที่หูขวา มือขวาวางไว้ข้างลำตัวสบาย ๆ  จากนั้นค่อย ๆ หายใจเข้า แล้วหายใจออกพร้อมเอียงคอไปทางซ้ายช้า ๆ จนรู้สึกตึงช่วงคอ ให้ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจ หายใจเข้าและหายใจออกค่อย ๆ ลดมือลงและทำอีกข้างแบบเดียวกัน

3.ท่ายืดหัวไหล่ คอ แขนและหลังส่วนบน เรียกว่าทำท่าเดียว แต่ยืดได้ถึง 4 จุด

วิธีทำ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ แล้วยืดแขนขวาขึ้นแนบศีรษะ งอข้อศอกขวาลง พยายามให้ข้อศอกอยู่หลังศีรษะ จากนั้นให้ยกแขนซ้ายไปจับข้อศอกขวา พร้อมหายใจเข้าลึก ๆ ดึงข้อศอกขวามาด้านหลังศีรษะพร้อมหายใจออก พยายามเงยหน้ามองตรงโดยให้ศีรษะดันข้อศอกไปด้านหลังจนรู้สึกตึงเล็กน้อย ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจ สลับท่าทำอีกข้างแบบเดียวกัน

4.ท่า Eagle Arms ช่วยคลายอาการปวดตึงช่วงคอ บ่า ไหล่ สะบักได้ดีมาก

วิธีทำ นั่งหลังตรง ยกแขนทั้งสองข้างมาด้านหน้าโดยพับแขนให้ตั้งฉากกับหัวไหล่ ผ่อนคลายหัวไหล่สบาย ๆ จากนั้นจึงยกแขนขวามาไขว้บนแขนซ้ายโดยให้ศอกขวาอยู่บนข้อพับแขนซ้าย แล้วไขว้ให้ฝ่ามือขวาประกบมือซ้าย ยกข้อศอกทั้งสองข้างขึ้นสูงช้า ๆ ค้างท่าไว้นับ 1-8 ลมหายใจ สลับข้างทำแบบเดียวกัน

5. ท่า Child’s Pose หรือเรียกว่า ท่าเด็กหมอบ เป็นท่าที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังช่วงล่าง สะโพก ต้นขาและข้อเท้าให้ผ่อนคลายจากอาการตึงหรือปวดจากการนั่งนาน ๆ หรือยืนนานได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ร่างกายมากขึ้นด้วย

วิธีทำ ท่านี้ควรทำบนเสื่อโยคะหรือเสื่อสำหรับออกกำลังกาย เริ่มด้วยการนั่งคุกเข่าโดยให้ก้นแตะส้นเท้า เหยียดปลายเท้าและข้อเท้าไปด้านหลัง กางหัวเข่าออกจากกันเล็กน้อย หายใจเข้าและหายใจออกพร้อมโน้มก้มตัวลงไปด้านหน้าจนหน้าผากแตะเสื่อ พยายามอย่ายกก้นสูงในระหว่างก้มตัวไปข้างหน้า

จากนั้นค่อย ๆ เหยียดแขนสองข้างไปข้างหน้าเหนือศีรษะจนสุด ให้รู้สึกว่าหลังยืดเหยียดดีแล้ว กดฝ่ามือลงแนบพื้นเบา ๆ ค้างท่าไว้ประมาณ 30 วินาที หายใจเข้า-ออก ช้า ๆ ระหว่างทำท่านี้ให้ปล่อยทิ้งตัวสบาย ๆ อย่าเกร็งคอ ไหล่ หรือแขน ท่า Child’s Pose นี้ยังสามารถทำก่อนนอนได้ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย จิตใจสงบ ช่วยลดความเครียดได้และทำให้หลับสบายอีกด้วย

ท่าโยคะที่นำมาฝากเป็นส่วนหนึ่งในท่าพื้นฐานเท่านั้น แต่ให้ประโยชน์อย่างเหลือเชื่อและทุกคนสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน ถ้าหากทำเป็นประจำสม่ำเสมอ รับรองว่าได้ผลชัวร์ ที่สำคัญควรแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยจึงจะดีที่สุด !

10 กีฬาในโลกที่รวมความฮา สุดแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร

เวลาที่เรานึกถึงการเล่นกีฬา ส่วนใหญ่คงนึกถึงกีฬาแบบปกติทั่วไปที่คนนิยมเล่นกัน เช่น ฟุตบอล เทนนิส ว่ายน้ำ เป็นต้น แต่จริง ๆ แล้วในโลกใบนี้มีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ เพราะยังมีกีฬาที่เราอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะมีการเล่นแบบนี้บนโลกด้วย มาดูว่าจะมีกีฬาแบบไหนบ้างที่คนเราต่างก็ช่างคิดค้นขึ้นมาเล่นกันแปลก ๆ และมีความสนุกสนานเฮฮามากขนาดไหน

10 กีฬาฮาเฮ นี่เล่นเอาฮาหรือล่ารางวัล !?

1.คาบขาหมู แค่ชื่อก็ฮาแล้ว แต่ไม่ได้ให้ไล่งับเท้าหมูเป็น ๆ นะ แบบนั้นก็ดูโหดร้ายกับน้องหมูเกินไป แต่เป็นการแข่งกันคาบขาหมูที่แช่ไว้ในถังน้ำ ใครคาบออกมาเร็วที่สุดคนนั้นชนะ ! กีฬานี้จัดที่ประเทศจอเจียร์ เป็นการแข่งการกุศลของงานโอลิมปิกฤดูร้อน ที่มีคนเช้าชมกว่า 5,000 คน

2. เลียนเสียงหมู เป็นอะไรที่ฟังดูน่ารักเพราะจะต้องเลียนเสียงหมูให้เหมือนมากที่สุด แถมแข่งขันจริงจังจนมีแข่งชิงแชมป์โลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสทุกปีเลยทีเดียว จริงจังแค่ไหนถามใจดู

3.พ่นจิ้งหรีด กีฬาที่ใช้เจ้าจิ้งหรีดตัวน้อยมาเป็นอุปกรณ์ น่าเอ็นดูตรงที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องพ่นจิ้งหรีดไปให้ไกลที่สุด เป็นกีฬาที่ช่างไม่แคร์จิตใจเจ้าจิ้งหรีดเอาซะเลย มีคนทำสถิติพ่นจิ้งหรีดโลกไปไกลถึง 32 ฟุต 5 นิ้ว เลยทีเดียว

4.แบกเมียวิ่ง กีฬานี้กติกาง่ายมาก ผู้ชายจะต้องแบกเมียวิ่งแข่งกัน ใครทำเวลาน้อยสุดก็คือชนะ แต่ไฮไลท์อยู่ที่คนชนะจะได้รับเบียร์เป็นรางวัลเท่ากับน้ำหนักเมียตัวเอง กีฬานี้จัดที่ประเทศฟินแลนด์ จัดแข่งกันเพื่อความสนุกสนานเฮฮา ถือเป็นกีฬากระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ด้วย

5.วิ่งแข่งกับชีส เป็นกีฬาที่คล้ายเป็นประเพณีในประเทศอังกฤษ เพิ่มความแปลกไปอีกเมื่อคนต้องมาวิ่งแข่งกันกับก้อนชีสที่เป็นอาหาร ! โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องวิ่งตามเจ้าก้อนชีสที่ถูกโยนกลิ้งลงบนภูเขาแล้ววิ่งตามให้ทันอย่างสุดพลัง หากใครวิ่งเอาชนะชีสได้ทันเป็นคนแรกก็คือผู้ชนะ ไม่ระบุแน่ชัดว่าของรางวัลเป็นอะไร อย่างไรก็ตามการแข่งวิ่งกับชีสก็ได้ถูกยกเลิกไป เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย

6.กระโดดข้ามทารก เป็นกีฬาที่ผสมผสานกับความเชื่อของคนโบราณ จัดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของประเทศสเปน โดยคนที่เข้าแข่งขันจะต้องแต่งตัวเป็นปีศาจแบบจัดเต็มแล้วกระโดดข้ามทารกแรกเกิดที่ถูกจัดให้นอนเรียงรายอยู่บนเบาะ จากความเชื่อบอกว่าการกระโดดข้ามนั้นเป็นการชำระล้างบาปให้ทารกแรกเกิด งานนี้คนเป็นพ่อแม่คงต้องลุ้นให้คนแข่งขันโดดข้ามได้กันทุกคนเลยนั่นแหละ

7.สงครามปาส้ม เป็นกีฬาประเพณีท้องถิ่นที่มีการทำศึกปาผลส้มใส่กัน จัดในเมืองเล็ก ๆ ทางเหนือของประเทศอิตาลี โดยที่ชาวเมืองจะมีการแบ่งทีมกัน แต่ละทีมมีส้มเป็นอาวุธและปาใส่กันอย่างบ้าคลั่ง แต่ต้องห้ามโกรธกันด้วย ที่แน่ ๆ ส้มที่ใช้ทำสงครามในครั้งนี้มีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 2 แสนกิโลกรัม ว่ากันว่าที่ใช้ส้มมาปาเล่นกันเยอะขนาดนี้เป็นการแก้ปัญหาผลผลิตส้มที่ล้นตลาด ฟังแล้วแอบเสียดายส้มนิด ๆ

8.ดื่มเบียร์กลับหัว กีฬาที่ไม่ได้นั่งดื่มเบียร์แข่งกันแบบธรรมดา งานนี้คนที่เข้าแข่งขันต้องทำท่า Head Stand หรือใช้ศีรษะตั้งไว้บนพื้นแล้วดื่มเบียร์ให้หมดแก้วให้เร็วที่สุดจึงจะชนะ แบบนี้ต้องใช้ทักษะความแข็งแรงและต้องดื่มเบียร์กลับหัวอีก ระหว่างแข่งขันคงต้องลุ้นและสนุกสนานน่าดู

9.โยนท่อนซุง ต้นกำเนิดมาจากชาวสก็อตติส โดยคนเข้าแข่งขันจะต้องใส่กระโปรงลายสก็อตและโยนเสาไม้หรือท่อนซุงที่มีขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Cabers กติกาการเล่นนั้นแหวกแนวสุด ๆ เพราะไม่ใช่การที่ใครโยนท่อนซุงไกลสุดเป็นผู้ชนะ แต่กลับกลายเป็นว่าใครที่โยนท่อนซุงแล้วส่วนปลายของท่อนซุงทิ่มพื้นที่ใกล้ตัวที่สุด เป็นผู้ชนะนั่นเอง

10.วิ่งแข่งบนส้นสูง กีฬานี้จัดมาเพื่อท้าทายสาว ๆ ที่ชอบสวมใส่รองเท้าส้นสูงสวย ๆ เป็นการประลองฝีเท้าและการทรงตัวบนรองเท้าส้นสูงถึง 9 เซนติเมตรและสาว ๆ จะต้องวิ่งแข่งกันในระยะทาง 50 เมตร กีฬานี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศรัสเซีย เพิ่มเติมอีกนิดว่ากีฬาวิ่งแข่งส้นสูงได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์เสื้อผ้า รองเท้าชั้นนำของโลกแถมเงินรางวัลอยู่ที่ราว ๆ 2,000 เหรียญต่อ 1 รอบการแข่งขันเลยทีเดียว

กีฬาแต่ละชนิดที่ว่ามาทั้งหมดนั้นถึงจะแปลกแหวกแนวและมีความฮาขนาดไหน ก็ต้องยอมรับว่ามีความคิดสร้างสรรค์มากทีเดียว ใครว่ากีฬาจะต้องแข่งขันเพื่อการเอาชนะเสมอไป ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง การเล่นกีฬาบางอย่างเป็นการให้ความบันเทิงและความสนุกสนานแก่ผู้ชมและผู้เข้าแข่งขันพร้อม ๆ กันและยังช่วยผ่อนคลายจิตใจจากความเครียดได้ดีมากทีเดียว

ปั้นหุ่นสวย ด้วยพิลาทิส มือใหม่ก็หัดเล่นที่บ้านได้ ไม่ง้อยิม

การออกกำลังกายแบบพิลาทิส (Pilates) นั้นเป็นการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงจากทั้งภายในและภายนอก และยังช่วยให้ผู้เล่นมีความสมดุลของร่างกายเพราะช่วยเรื่องการทรงตัว การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของข้อและกระดูก ช่วย แก้อาการหลังแอ่นหรือหลังค่อม ทำให้ผู้เล่นพิลาทิสมีบุคลิกที่ดีขึ้นได้ สาว ๆ ที่อยากพัฒนาบุคลิกภาพและอยากลดน้ำหนักหรือกระชับสัดส่วนจึงเลือกมาเล่นพิลาทิสกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และจุดประสงค์ของสาว ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นการมีหุ่นเฟิร์ม พุงหาย ไม่มีไขมันให้กวนใจ วันนี้เราจึงอยากพาสาว ๆ มาออกกำลังกายแบบพิลาทิสกัน มาดูว่าเล่นยังไงให้ช่วยลดพุงแบบได้ผลชัวร์

ออกกำลังกายลดพุงด้วย 5 ท่าพิลาทิส ทำเองได้ ง่ายมาก

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ คือ เสื่อโยคะ หรือเสื่อสำหรับการออกกำลังกาย เมื่ออุปกรณ์พร้อม ก็มาเริ่มต้นกันได้เลย

1. ท่า Hundred เป็นท่าที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรง

– นอนหงายราบลงบนเสื่อ หายใจเข้าและหายใจออกยาว ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องพร้อมยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาจากพื้น ให้อยู่ในระดับที่ประมาณ 90 องศา

– หายใจเข้าแล้วยกลำตัวด้านบนขึ้นมา แขนสองข้างเหยียดตรงไปด้านหน้าขนานกับหัวไหล่

– ค้างท่าไว้ นับลมหายใจเข้า-ออก 5 ครั้งแล้วจึงค่อย ๆ ลดระดับลงสู่ท่าเริ่มต้น ทำแบบเดิม 2-3 เซ็ต

2. ท่า Double Leg Stretch หรือท่ายืดเหยียดขา

– นอนราบลงบนเสื่อ ค่อย ๆ ชันเข่าขึ้นมาแล้วเอื้อมมือมากอดเข่า แล้วจึงยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย

– เหยียดขาตรงทำมุม 45 องศาจากพื้น พร้อมกับเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นมาขนาบหู หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ

– ค่อย ๆ ลดขามาในท่าชันเข่าแล้ววาดแขนทั้งสองข้างมากอดเข่าไว้เหมือนท่าเริ่มต้น หายใจออกทางปาก

– ทำซ้ำ 5-6 รอบเป็นอย่างต่ำ หากเริ่มชินแล้วค่อยเพิ่มเป็น 10 ครั้ง

3. ท่า Crisscross Bicycle หรือท่าปั่นจักรยาน ช่วยกระชับหน้าท้อง ต้นขาและก้นได้ดีมาก

– นอนหงายบนเสื่อ ใช้มือหนุนศีรษะไว้ จากนั้นหายใจเข้าให้ค่อย ๆ ยกลำตัวขึ้นเล็กน้อยโดยใช้แขน ข้อศอก หัวไหล่รับน้ำหนัก

– งอเข่าข้างใดข้างหนึ่งก็ได้เข้าหาทำตัว อีกข้างเหยียดตรงแต่ยกลอยสูงจากพื้นเล็กน้อย หายใจออก

– ค่อย ๆ สลับข้างถีบขา คล้ายกับปั่นจักรยานในอากาศ อย่ากลั้นหายใจระหว่างทำท่า

– ทำท่านี้ประมาณ 2-3 เซ็ต เซ็ตละ 10 ครั้ง

4. ท่า Shoulder Bridge หรือสะพานโค้ง ท่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง สะโพกกระชับ หลัง ไหล่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น

– ให้นอนหงายเช่นเดิม ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น โดยที่เท้าสองข้างชี้ตรงไปข้างหน้าและขนานกัน เช็คได้โดยใช้มือจับส้นเท้าดู หากจับถึงแสดงว่าเท้าวางในตำแหน่งที่พอดี จากนั้นเอามือวางข้างลำตัว และระวังอย่าให้ปลายเท้าแบะออกไปด้านข้าง

– ค่อย ๆ ยกลำตัวขึ้น โดยที่แขนและหัวไหล่ยังแนบกับพื้น ระหว่างยกลำตัวให้เกร็งหน้าท้องค้างไว้สักครู่แล้ววางลำตัวลง ทำซ้ำต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง หายใจเข้าออกปกติ

5. ท่า Corkscrew เป็นท่าช่วยไล่ไขมันหน้าท้อง ทำให้มีหน้าท้องที่แบนราบ

– ยังคงนอนราบกับเสื่อ วางแขนข้างลำตัว หายใจเข้าแล้วหายใจออกพร้อมยกขาเหยียดตรงทำมุมประมาณ 90 องศา

– หายใจเข้า เกร็งหน้าท้อง ขาเหยียดตรงชิดกัน จากนั้นจึงค่อย ๆ หมุนขาไปทางด้านซ้ายวนเป็นวงกลมจนมาจบที่จุดเดิม คือยังยกขาในระดับ 90 องศาเหมือนเดิม ค่อย ๆ หายใจออกทางปาก

– หายใจเข้า เกร็งหน้าท้อง หมุนขาไปทางด้านขวาเป็นวงกลมเช่นเดิม จนมาจบที่จุดเริ่มต้นพร้อมหายใจออกทางปาก ให้ทำซ้ำหมุนวนสลับข้างไปมาอีก 8-10 ครั้ง

– ข้อควรระวัง พยายามอย่าเกร็งช่วงลำคอขณะทำท่า ศีรษะ แขนและหัวไหล่ต้องไม่ยกจากพื้น

สำหรับท่าออกกำลังกายแบบพิลาทิสทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เมื่อทำเป็นประจำรับรองว่าคุณจะไม่มีไขมันมากวนใจ แถมได้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง ซึ่งมือใหม่หรือคนที่อาจจะเคยออกกำลังกายแบบอื่นมาแล้ว อาจจะลองใช้ท่าพิลาทิสเหล่านี้เข้าไปผสมผสานเพื่อให้การออกกำลังกายลดพุงแบบเดิมไม่น่าเบื่อ ทำเองได้ง่าย ๆ แถมไม่ต้องเดินทางไปยิมให้เสียเวลาอีกด้วย

กีฬา Extreme เสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน เล่นแล้วมีประโยชน์หรือไม่

กีฬาประเภทผาดโผน หรือที่เรียกว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีม (Extreme) นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจ บวกกับความสนุกสนานและท้าทายขีดจำกัดของตนเอง จึงทำให้กีฬาประเภทนี้จัดการแข่งขันกันอย่างจริงจังและยังได้รับการสนับสนุนการแข่งขันจากบริษัทใหญ่ ๆ มากมาย วันนี้เราจะพาทุกท่านมาเจาะลึกถึงกีฬาผาดโผนแต่ละชนิดกันว่าเสี่ยงอันตรายกันขนาดไหน มีที่มาที่ไปอย่างไรและทำไมคนจึงมีคนนิยมเล่นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

จุดกำเนิดของกีฬาเอ็กซ์ตรีม

กีฬา Extreme หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า XGame ที่รวมประเภทของกีฬาผาดโผนทุกชนิดที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของผู้เล่นเป็นอย่างมาก ผู้เล่นจะต้องใช้ทักษะความแข็งแรงของร่างกายมากเป็นพิเศษซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนัก และที่สำคัญต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง รักความท้าทายและความตื่นเต้นเร้าใจ พูดง่าย ๆ คือต้องเป็นคนใจกล้าบ้าบิ่นสุด ๆ

Extreme sport มีทั้งการใช้อุปกรณ์พิเศษในกีฬาบางประเภท และเครื่องเล่นที่มีอยู่ทั่วไปเช่น จักรยาน Rollerblade Skateboard เป็นต้น เริ่มจากกลุ่มวัยรุ่นในประเทศตะวันตกที่เบื่อกีฬาชนิดเดิม ๆ และหันมาเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมแทน เช่น การเล่นสเก็ตบอร์ดบนพื้นที่เป็นคลื่นและมีความชันแล้วตีลังกาในอากาศ การกระโดดข้ามตึก การเล่นสกีเท้าเปล่า แบบนี้เป็นต้น โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษที่มีการสนับสนุนกีฬาผาดโผนด้วยการสร้างศูนย์กีฬาผจญภัยที่เรียกว่า Venture Extreme -ขึ้นมา มีทั้งถ้ำ หน้าผาเพื่อปีนป่าย สร้างกำแพงน้ำแข็ง ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริษัทใหญ่ ๆ ที่ได้เปิดศูนย์ Extreme Sports ในเมืองต่าง ๆ ของอังกฤษให้เป็นสถานที่เล่นกีฬาผจญภัยโดยเฉพาะอีกด้วย จนกระทั่งในหลาย ๆ ประเทศเริ่มนิยมทำตามและจัดการแข่งขันกันขึ้นมาอย่างเป็นทางการ

5 กีฬาเอ็กซ์ตรีม ที่สุดของความเสี่ยงและความบ้า ท้าทายมฤตยู

1.Base Jumping คือการกระโดดลงจากที่สูงลงมา เช่น อาคารที่เป็นตึกสูง ๆ แล้วจึงร่อนลงมากลางอากาศเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะกระตุกร่มชูชีพให้ทำงาน

2.Highlining เป็นการเดินไต่เชือกที่แขวนระหว่างหน้าผา จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง อาศัยการทรงตัวและสมาธิที่แน่วแน่ จุดพีคคือกีฬานี้ไม่ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องป้องกันใด ๆ เลย

3.Free Solo Climbing คือการปีนหน้าผาด้วยมือเปล่า ใช้เพียงหินชนิดหนึ่งสำหรับการจับและปีนขึ้นไปบนหน้าผาเท่านั้น แถมไม่มีเครื่องมือเพื่อป้องกันการร่วงหล่นลงมาอีกด้วย หัวใจจะวาย

4.Ice Climbing เป็นกีฬาประเภทปีนเหมือนกัน แต่เป็นการปีนหน้าผาน้ำแข็ง ความอันตรายคือโอกาสที่คนปีนจะร่วงลงมานั้นมีสูงมาก เพราะน้ำแข็งนั้นอาจจะมีการยุบตัวลงได้ตลอดเวลา คิดแล้วน่าหวาดเสียวที่สุด

5.Hell Skiing เป็นการเล่นสกีที่ไม่ธรรมดาเพราะผู้เล่นจะต้องกระโดดออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินมาส่งบนยอดเขาก่อนที่จะสกีลงมาจากความชันที่อาจจะสูงถึง 60 องศาเลยทีเดียว จุดอันตรายของ Hell Skiing คือเริ่มตั้งแต่การกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว ระหว่างสกีอาจจะมีหิมะถล่มและหลุมหิมะที่ผู้เล่นคาดเดาไม่ได้อีกด้วย อันตรายรอบด้านขนาดนี้ก็ยังมีคนชอบเสี่ยงไปเล่นไม่ขาดสายเลยล่ะ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ขอบอกว่าใครใจไม่กล้าจริงคงเล่นไม่ได้แน่ คำถามคือแล้วทำไมรู้ว่าเสี่ยงแต่ยังมีคนชอบเล่นกีฬาประเภทนี้อยู่ทั่วโลก มีข้อมูลงานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า กีฬาเสี่ยงอันตรายนั้นมีความสัมพันธ์ทางด้านจิตใจของผู้เล่น เพราะเป็นการปลดปล่อยตัวเองจากกฎกติกา ข้อบังคับมากมายในการเล่นกีฬาแบบปกติรวมถึงกฎเกณฑ์ในการใช้ชีวิตประจำวันที่มีความเครียดแฝงอยู่มากมาย การเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมบางประเภท เช่น การปีนเขา หรือปีนหน้าผา ผู้เล่นส่วนใหญ่มีความชื่นชอบที่จะได้สัมผัสและอยู่กับธรรมชาติในป่ารอบ ๆ ตัว เป็นการหลีกหนีความจำเจและชีวิตที่วุ่นวายในเมือง จึงถือว่าการเล่นกีฬาผาดโผนเป็นการปลดปล่อยความเครียดอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการหาความแปลกใหม่ที่ท้าทายความสามารถด้วยนั่นเอง

อยากหุ่นดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม มาออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยวิธี Body Balance กันเถอะ

เมื่อเทรนด์รักสุขภาพมาแรงอย่างต่อเนื่อง คนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและรูปร่างกันมากขึ้น ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเห็นคนมีรูปร่างดี ผิวพรรณสดใสกันเต็มไปหมด การออกกำลังกายแบบ Body Balance ก็เป็นหนึ่งในการออกกำลังที่ช่วยดูแลสุขภาพได้ดีมาก และตอนนี้เป็นที่ยอมรับว่ามีทางเลือกสำหรับการออกกำลังกายมากมายหลายวิธี เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนที่ไม่เคยออกกำลังกายหรือมีข้ออ้างต่าง ๆ อยากหันมาออกกำลังกายเป็นประจำมากขึ้น เราจึงอยากนำเสนอให้คุณมาออกกำลังกายแบบบอดี้บาลานซ์ ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายอย่างที่คุณอาจจะนึกไม่ถึงมาก่อน

ออกกำลังกายแบบ Body Balance เบา ๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล

Body Balance คือการออกกำลังกายแบบที่ไม่หนักมากเกินไป คนที่อยากเข้าฟิตเนสแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มออกกำลังกายแบบไหนหรือไปเข้าคลาสไหนดี แนะนำว่าสามารถเริ่มออกกำลังกายด้วยคลาสบอดี้บาลานซ์ได้ง่ายมาก เพราะบอดี้บาลานซ์ คือ การรวมการออกกำลังกายไว้ 3 แบบด้วยกัน นั่นคือ ไทชิ โยคะ และพิลาทิส เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายเริ่มด้วยการวอร์มอัพร่างกายแบบไทชิ หรือโยคะให้พร้อมก่อนไปสู่สเต็ปต่อไป จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางคือโยคะ และพิลาทิส โดยเพิ่มน้ำหนักในการเคลื่อนไหวมากขึ้นบวกกับการที่ต้องควบคุมลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ให้สัมพันธ์ไปพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวร่างกายในท่วงท่าต่าง ๆ

การเล่น Body Balance ในแต่ละคลาส จะมีครูฝึกเป็นผู้นำเพื่อให้คนที่เข้าคลาสได้ทำท่าตามอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะมือใหม่ที่เริ่มต้นเข้าคลาส โดยส่วนใหญ่แล้วครูฝึกจะเตรียมกำหนดท่าทางต่าง ๆ มาเป็นอย่างดี บรรยากาศการออกกำลังกายแบบบอดี้บาลานซ์จะมีเพลงที่เปิดไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายประมาณ 10-11 เพลงในแต่ละช่วงของเพลงจะมีท่าให้เล่นประมาณ 4-5 ท่า ซึ่งเป็นเพลงร่วมสมัยให้ผู้เล่นเกิดความรู้สึกผ่อนคลายและยังทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ส่วนทำนองเพลงที่ใช้มักจะกำหนดมาอย่างเหมาะสม และลงตัวกับท่วงท่าในการออกกำลังกาย ซึ่งเราขอนำเสนอท่าต่าง ๆของคลาสบอดี้บานลานซ์ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นสำหรับคนที่สนใจกันคร่าว ๆ ดังนี้

ท่ามาตรฐานของการออกกำลังกายแบบ Body Balance

เริ่มต้นคลาสเพลงที่ 1 Warm up หรืออบอุ่นร่างกายด้วยการทำไทชิ (หรืออาจจะเริ่มด้วยท่าอบอุ่นร่างกายแบบโยคะก็ได้)

เพลงที่ 2 ท่า Sun Salutation หรือเรียกว่า ท่าไหว้พระอาทิตย์ เป็นท่าโยคะพื้นฐานที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ทุกส่วน

เพลงที่ 3 การฝึก Standing Strength เป็นท่าที่ช่วยเน้นสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาได้ดีเยี่ยม

เพลงที่ 4 ฝึกท่า Balance เป็นท่าฝึกการทรงตัวของร่างกาย

 เพลงที่ 5 การฝึกท่า Hip Opener หรือท่าเปิดสะโพก เป็นหนึ่งในท่าออกกำลังแบบโยคะ

เพลงที่ 6 การฝึก Abdominal การนำท่าเล่นที่เน้นบริหารช่วงท้องตามแบบพิลาทิส

เพลงที่ 7 การฝึก Core Back ท่าฝึกความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง

เพลงที่ 8 การทำท่า Twist เป็นท่าการบิด ยืดลำตัว หน้าอกและหัวไหล่เป็นต้น

เพลงที่ 9 การฝึก Hamstring Stretch เป็นท่ายืดเหยียดที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ทำให้เกิดความยืดหยุ่น

เพลงที่ 10 Relaxation เป็นช่วงของการผ่อนคลายร่างกาย เช่น การนอนนิ่ง ๆ ในท่าศพแบบโยคะ และกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบช้า ๆ

เพลงที่ 11 Recover เป็นการดึงพลังของร่างกายให้กลับมารู้สึกตัวหลังจากที่ได้นอนพักนิ่ง ๆ ไปแล้วเป็นการปิดท้ายของการออกกำลังแบบบอดี้บาลานซ์

เมื่อพิจารณาจากการฝึกท่าต่าง ๆ แบบ Body Balance ตามข้างบน จะเห็นว่าทุก ๆ ท่าที่ฝึก ต่างได้ให้ประโยชน์ในทุกส่วนของร่างกาย ทั้งได้ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความสมดุลและที่สำคัญการทำท่าอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้เล่นมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหว รวมถึงการกำหนดลมหายใจที่ถูกต้องสามารถช่วยในเรื่องการผ่อนคลายของจิตใจและร่างกายได้ดีเยี่ยม หากฝึกบอดี้บาลานซ์เป็นประจำรับรองว่าจะทำให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงจากภายใน มีรูปร่างที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม บุคลิกดีและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ถือว่าได้ออกกำลังกายเบา ๆ แต่ได้ประโยชน์ไม่เบาเลยทีเดียว

การฝึกโยคะด้วยท่าไหว้พระอาทิตย์ ท่าพื้นฐาน แต่มีประโยชน์ขั้นเทพ

โยคะ ถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในด้านการออกกำลังกายที่มีรากฐานมาจากประเทศอินเดีย เพราะผู้ฝึกโยคะนอกจากจะได้ปรับสมดุลของร่างกายให้มีทั้งความยืดหยุ่นและความแข็งแรง โยคะยังช่วยให้จิตใจของผู้ฝึกมีความสงบและผ่อนคลายได้อย่างเหลือเชื่อ ถ้าหากจะเอ่ยถึงประวัติความเป็นมา การฝึกฝนท่าต่าง ๆ ของโยคะทั้งหมด ก็คงจะต้องใช้เวลามากพอสมควร วันนี้จึงขอหยิบยกท่าโยคะที่เรียกง่าย ๆ ว่า “ท่าไหว้พระอาทิตย์” ซึ่งเป็นท่าพื้นฐานสำหรับการเริ่มต้นไปสู่การฝึกฝนโยคะในท่าอื่น ๆ ต่อไป

ท่าไหว้พระอาทิตย์ (Sun Salutation) 12 ท่า ฝึกง่าย ให้ประโยชน์เยอะ

ท่าไหว้พระอาทิตย์” หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ “สุริยนมัสการ” (Surya Namaskar) เป็นท่าโยคะที่เปรียบเสมือนท่าไหว้ครูและเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อพระอาทิตย์ ซึ่งจะต้องทำท่าต่อเนื่อง 12 ท่าต่อ 1 รอบ เป็นการการอบอุ่นร่างกายในช่วงเริ่มต้นของการฝึกโยคะ ผู้ฝึกจะต้องทำประมาณ 6-12 รอบ เพื่อเตรียมร่างกายให้มีความพร้อมของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่าง ๆ ในการฝึกในท่าต่อไป และเราขอนำชุดท่าไหว้พระอาทิตย์ทั้ง 12 ท่ามาให้คุณได้ลองฝึกตามแบบง่าย ๆ กัน ดังนี้

1. ท่าสัมมาทิฐิ ยืนตรงบริเวณหัวเสื่อโยคะ หัวแม่เท้าชิดกัน แยกส้นเท้าออกเล็กน้อย มองตรงไปข้างหน้า จากนั้นค่อย ๆ พนมมือไว้กลางอก ระหว่างนี้หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกยาว ๆ

2. ท่าพระจันทร์เสี้ยว หายใจเข้าแล้วเหยียดแขนตรงขึ้นไปจนสุด ยืดกระดูกสันหลัง ยืดอกขึ้น ค่อย ๆ เอนตัวไปด้านหลัง แขนควรแนบใบหูทั้งสอง เงยหน้า สายตามองที่มือ

3. ท่ายืนก้มตัว ให้หายใจออกช้า ๆ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าจนฝ่ามือราบกับพื้น ผู้ฝึกใหม่อาจจะยังไม่สามารถใช้ฝ่ามือแตะพื้นได้จึงไม่ควรฝืน ให้ใช้มือจับที่ข้อเท้าแทน เหยียดขาตรง น้ำหนักลงปลายเท้า แต่หากปวดหลังสามารถงอเข่าได้เล็กน้อย ปล่อยศีรษะตามสบาย เมื่อฝึกบ่อย ๆ ร่างกายจะสามารถค่อย ๆ ยืดไปจนฝ่ามือแตะถึงพื้นได้เอง

4. ท่า Low Lounge หายใจเข้าช้า ๆ ฝ่ามือวางราบกับพื้น แล้วถอยเท้าขวาไปด้านหลัง วางเข่าขวาลงบนเสื่อ ยกตัวขึ้นมาให้หลังตรง ลดสะโพกให้ต่ำลงและยืดอกขึ้น เงยหน้าเชยคางเล็กน้อย มือสองข้างปล่อยข้างลำตัว หากฝึกเป็นประจำ จนตัวยืดหยุ่นดีเราจะใช้มือแตะพื้นได้เอง

5. ท่ากระดาน วางมือลงบนพื้นด้านหน้า แล้วถอยเท้าซ้ายคู่กับเท้าขวา ทำตัวตรง ขาตรงเป็นแนวกระดาน แขม่วหน้าท้องเล็กน้อย มองตรงไปด้านหน้า

6. ท่า 8 จุดสัมผัส หายใจออกช้า ๆ ลดเข่าแตะพื้นทั้งสองข้าง ปลายเท้าตั้ง แล้วค่อย ๆ ลดอกแตะพื้น ให้ก้นโด่งไว้ จากนั้นจึงใช้คางสัมผัสพื้นเบา ๆ ควรระวังอย่าให้น้ำหนักลงที่คาง ท่านี้ต้องใช้มือดันพื้นเพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก ข้อศอกต้องหนีบเข้าหาลำตัว

7. ท่างู หายใจเข้าช้า ๆ ค่อย ๆ เลื้อยตัวไปข้างหน้า ยืดอกหรือพยายามดันอกไปด้านหน้า มือยันพื้นพยายามกดไหล่ให้ห่างหู เชยคางขึ้นเล็กน้อย

8. ท่า Downward Facing Dog หายใจออกช้า ๆ เอามือยันพื้นไว้ แขนเหยียดตรงแล้วดันสะโพกไปด้านหลังให้ก้นโด่งขึ้น ขาสองข้างเหยียดตรงและกระตุกเข่าให้ตรง พยายามอย่าเกร็งบ่า ไหล่ และศีรษะ ควรทิ้งลงสบาย ๆ ท่านี้ผู้ฝึกใหม่ ส้นเท้าอาจจะยังไม่สามารถวางแตะพื้นได้ ก็ให้ยกส้นเท้าไว้แต่ขาต้องเหยียดตรง

9. ท่า Low Lounge หายใจเข้า เงยหน้าแล้วก้าวเท้าขวาให้ไปอยู่ระหว่างมือ ถ้ายังไม่ถึงก็ค่อย ๆ กระเถิบเท้าไป วางเข่าซ้ายลง แล้วยกตัวขึ้นมา ยืดอกและลดสะโพกลงให้มากที่สุด (ทำคล้ายกับท่าที่ 4 แต่สลับข้างกัน)

10. ท่ายืนก้มตัว หายใจออก ก้าวเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา ก้มพับตัวลงไปและเหยียดขาตรง (งอได้เล็กน้อยหากรู้สึกปวดหลัง) น้ำหนักลงปลายเท้า มือวางราบกับพื้นหรือจับข้อเท้าไว้

11. กลับมาท่าพระจันทร์เสี้ยว หายใจเข้า เหยียดแขนขึ้นตรง ยืดอก ยืดลำตัวขึ้นและแอ่นหลังเล็กน้อย ท่านี้ต้องระวังการปวดหลังล่างจากการแอ่นมากเกินไป

12. สัมมาทิฐิ กลับมาที่ท่าแรก หายใจออก ลดมือลงมาพนมไว้ที่หน้าอก น้ำหนักลงที่ส้นเท้า หน้ามองตรง นับเป็น 1 รอบ และเตรียมพร้อมขึ้นต้นท่าใหม่ในรอบถัดไป

ชุดท่าไหว้พระอาทิตย์ทั้ง 12 กระบวนท่านั้น หากฝึกเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะในยามเช้า จะทำให้คุณรู้สึกมีพลังและมีความสดชื่นพร้อมที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ ในวันนั้นต่อไปได้ดี เมื่อฝึกเป็นประจำ ร่างกายจะเริ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้น กล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็นต่าง ๆ จะมีความแข็งแรง ส่วนจิตใจของผู้ฝึกก็จะไม่มีความเครียด รู้สึกสงบและมีสติมากขึ้นด้วย ลองหันมาฝึกโยคะกันรับรองจะต้องติดใจแน่นอน

เล่นกีฬา ช่วยพัฒนาสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์

ถ้าหากจะพูดถึงประโยชน์ของการเล่นกีฬานั้น คงมีมากมายนับไม่ถ้วน อยู่ที่เราจะโฟกัสในด้านไหนมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเล่นกีฬาประเภทใดก็ตาม หากไม่เสี่ยงอันตรายมากจนเกินไปและทำถูกวิธี กีฬาก็ให้คุณประโยชน์กับเราแทบทั้งนั้น ในวันนี้เราจึงขอนำเสนอประโยชน์ของการเล่นกีฬาที่มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์มาให้ทุกคนได้ทราบกัน เพราะโรคอัลไซเมอร์นั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างการเล่นกีฬา

กีฬาที่ช่วยพัฒนาสมองให้ห่างไกลจากอัลไซเมอร์

อัลไซเมอร์ หรือ ภาวะสมองเสื่อม มักจะพบมากในผู้สูงอายุ ซึ่งโรคนี้เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความจำแย่ลง และทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน บุคลิกหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด หากมีภาวะสมองเสื่อมไปจนถึงระยะที่รุนแรง อาจจะถึงขั้นที่ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ จำใครไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง ลุกไม่ได้ ทำให้ต้องนอนติดเตียงและมีอาการติดเชื้อแทรกซ้อนในที่สุด

คงเป็นความทรมานใจอย่างยิ่งหากเราต้องเห็นคนใกล้ชิดเจ็บป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงตัวเราเองในอนาคตก็อาจจะมีความเสี่ยงกับภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ ด้วยการดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ การเล่นกีฬาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่ไม่ใช่เป็นการป้องกันเพียงโรคเดียว แต่ยังได้ป้องกันจากโรคอื่น ๆ และได้ประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย เรามาดูกันว่ากีฬาที่ว่านั้นคือกีฬาชนิดใด และช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ได้จริงหรือไม่

1.กีฬาหมากรุก เป็นกีฬาที่ใช้ผู้เล่นเพียงสองคน และยังเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย สามารถนำมาเล่นกับคนในครอบครัวเป็นกิจกรรมที่กระชับความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี กีฬาหมากรุกเป็นกีฬาที่ใช้สมองในการคิดวางแผนการเล่นอย่างระมัดระวัง ต้องมีทั้งสมาธิ มีไหวพริบและมีความคิดเชิงกลยุทธ์ในการเดินหมากแต่ละครั้งเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้

และในการที่ต้องใช้สมองคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนนี้ จึงทำให้กีฬาหมากรุกเป็นกีฬาช่วยพัฒนาสมองชั้นเยี่ยม ช่วยฝึกสมองในเรื่องของความจำ ช่วยคลายเครียดและลดความเสี่ยงของการเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคทางสมอง แถมหามาเล่นได้ง่าย ไม่สิ้นเปลืองอีกด้วย

2. กีฬาประเภทแอโรบิก ออกกำลังเบา ๆ แบบต่อเนื่อง เช่น การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะ ๆ รำมวยจีน โยคะ หรือแม้แต่การเต้นรำ เช่น เต้นลีลาศในจังหวะที่ไม่เร็วเกินไป เน้นการเคลื่อนไหวของประสาทสัมผัสทั้ง 5 และต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 20-30 นาทีเป็นต้นไป สัปดาห์ 3-5 วัน เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยป้องกันและลดภาวะการเสื่อมถอยของสมองได้ดี เนื่องจากได้ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสเป็นประจำ

3. กีฬาปิงปอง หรือ Table Tennis เป็นการช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เป็นการทำงานประสานกันระหว่างสายตาที่คอยจับจ้องลูกปิงปอง และมือที่ต้องคอยตีลูกโต้กลับ ส่วนสมองก็คิดวางแผนตอบโต้คู่ต่อสู้ในเวลาเดียวกัน เป็นการได้ใช้สมองหลาย ๆ ส่วนพร้อม ๆ กัน ทำให้สมองมีความตื่นตัวและไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่หนักจนเกินไป ผู้สูงอายุก็สามารถเล่นกีฬาปิงปองได้

การเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ ควรเล่นให้พอดีและเหมาะสมต่อสุขภาพร่างกายของเรา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เรามีสุขภาพดี มีความกระฉับกระเฉง จิตใจแจ่มใส สมองปลอดโปร่งในที่สุดเราก็จะห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ และโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ได้ นอกจากกีฬาแล้ว การกินอาหารที่มีประโยชน์และการพักผ่อนที่เพียงพอก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นควรหันมาดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดตั้งแต่วันนี้จึงจะดีที่สุด

เล่นกีฬาได้โดยไม่ต้องเปลืองเงิน 4 กีฬาที่เล่นแล้วหุ่นดี มีตังค์เหลือ

 การเล่นกีฬาเกือบทุกประเภทต้องมีอุปกรณ์กีฬาเราถึงจะเล่นได้ แต่อุปกรณ์บางชนิดอาจมีราคาสูงมากจนกลายมาเป็นข้อจำกัดของการออกกำลังกาย แต่ถ้าหากเราเลือกเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับตัวเราเองและมีจุดประสงค์ของการเล่นเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงนั้น ยังมีกีฬาอีกหลายชนิดที่จะทำให้เราไม่ต้องกลัวว่าจะสิ้นเปลืองแถมยังได้สุขภาพและหุ่นดี ๆ กลับมาอีกด้วย

4 กีฬาเพื่อสุขภาพ เล่นได้ง่าย ๆ ไม่เปลืองเงิน

1.การวิ่ง เป็นกีฬาที่ใช้อุปกรณ์น้อย มีเพียง 1 อย่างที่ควรให้ความสำคัญนั่นคือ รองเท้าสำหรับวิ่ง มีราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันต้น ๆ ที่มีคุณภาพดีและยังใช้ได้นานเพียงแต่ควรเลือกให้เหมาะกับรูปแบบของเท้าเราเพื่อใส่สบายและช่วยลดหรือป้องกันความเสี่ยงจากแรงกระแทกเวลาที่ลงน้ำหนักในการวิ่งแต่ละครั้ง

การไปวิ่งแบบไม่ต้องเสียเงิน คือเลือกวิ่งในสวนสาธารณะใกล้บ้าน สนามกีฬากลางประจำจังหวัดที่ปัจจุบันจะเปิดให้ประชาชนได้เข้ามาใช้พื้นที่ออกกำลังกายแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือพื้นที่ใกล้เคียงที่ปลอดภัยและไม่มีรถราวิ่งพลุกพล่าน เช่น ถนนรอบ ๆ หมู่บ้าน เป็นต้น

2.การกระโดดเชือก อุปกรณ์สำหรับกระโดดเชือกนั้นหาง่าย ราคาไม่แพง เริ่มตั้งแต่หลักร้อยเช่นกัน ที่สำคัญความยาวควรได้มาตรฐานและพอดีกับส่วนสูงของเรา เราสามารถวัดได้ด้วยการยืนเหยียบเชือกตรงกึ่งกลางแล้วดึงเชือกทั้งสองข้างขึ้นตรง ๆ ถ้าความยาวพอเหมาะกับความสูงของเรา เชือกจะขึ้นมาอยู่ที่ระดับรักแร้พอดี

การกระโดดเชือกไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกก็ได้ เราสามารถกระโดดเชือกเล่นที่ลานบ้านได้ หรือแม้แต่ห้องนั่งเล่น เพียงแต่ระวังว่าไม่ควรมีข้าวของวางอยู่รอบ ๆ รวมถึงสัตว์เลี้ยงหรือเด็ก ๆ บริเวณนั้น ป้องกันการแกว่งเชือกไปโดนเท่านั้นเอง

3.เปตอง เป็นกีฬาที่เล่นง่ายและเล่นได้ในทุกสนาม เช่น สนามดิน สนามหิน ยกเว้นที่เป็นคอนกรีตและพื้นหญ้า โดยเล่นในที่ร่มก็ได้ กลางแจ้งก็ได้เป็นกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีมและแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งลูกเปตองหรือเรียกว่า ลูกบูล 1 เซ็ตจะมี 3 ลูก ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยขึ้นไป หากต้องเล่นแข่งขันเปตองก็ต้องมีลูกเปตอง 2 เซ็ต

เปตองเป็นกีฬาที่นิยมอย่างแพร่หลาย ในหมู่บ้านหรือชุมชนมักจะมีสนามเปตองส่วนกลางไว้ให้ลูกบ้านมาร่วมเล่นด้วยกัน ถ้าคุณไม่ได้ซื้อลูกเปตองเองก็อาจจะขอเข้าร่วมเล่นกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน หรืออาจขอเข้าร่วมชมรมเปตองในพื้นที่ชุมชนที่เราอาศัยอยู่ เราก็สามารถไปร่วมเล่นได้ อาจจะมีค่าสมาชิกชมรมบ้างแต่ไม่แพงแน่นอน เผลอ ๆ บางชุมชนได้รับงบประมาณสนับสนุนการเล่นกีฬา อาจจะเล่นได้ฟรีเพราะไม่ได้เป็นกีฬาที่ใช้พื้นที่สนามและอุปกรณ์การเล่นสิ้นเปลืองมากมายเลย

4.แบดมินตัน อุปกรณ์ที่ใช้ก็คือไม้แบดมินตันและลูกแบดมินตันที่เราคุ้นเคยและเรียกว่า ลูกขนไก่ ถือว่าเป็นอุปกรณ์กีฬาที่ไม่แพงและหาง่าย กีฬาแบดมินตันส่วนใหญ่จะเล่นกันเป็นคู่ ราคาไม้แบดมินตันเริ่มต้นที่หลักร้อย คุณภาพปานกลางก็ใช้ได้ดีทีเดียว ส่วนลูกขนไก่ก็ใช้เล่นได้นานพอสมควรถ้ามือสมัครเล่นไม่เน้นตบหนักก็ใช้เล่นได้ไปยาว ๆ

การเล่นแบดมินตันไม่จำเป็นจะต้องไปเล่นที่สนามแบดมินตันจริงเสมอไป คุณสามารถเล่นสนามหญ้าหน้าบ้าน ลานกีฬาในหมู่บ้านหรือชุมชน เพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้ดีเยี่ยม

 แต่ถ้าหากอยากได้อารมณ์เล่นในสนามจริง เดี๋ยวนี้กีฬาแบดมินตันส่วนใหญ่จะมีสนามฝึกซ้อมหรือที่เราเรียกว่า คอร์ทแบดมินตันเปิดให้เช่าเล่นเป็นรายชั่วโมงอยู่มากมาย คุณอาจจะนัดเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบกีฬาแบดมินตันไปเล่นด้วยกันและแชร์ค่าเช่าสนามกันได้ โดยค่าเช่าคอร์ทส่วนใหญ่เริ่มต้นหลักร้อย หารกันหลายคนก็ถือว่าไม่แพงเลยถ้าเทียบกับสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจของเราที่จะได้รับกลับมา

กีฬาทุกประเภทให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกายของคนเราหากเลือกเล่นอย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาที่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูงจนเกินไปหรือการใช้อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นและทำให้เราสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  เพียงเท่านี้คุณก็สามารถมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีรูปร่างที่ดีได้เช่นกัน